ทองพุ่งทดสอบ 1,920 เหรียญ หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกดดันดอลลาร์อ่อนค่า
· ราคาทองคำเมื่อคืนนี้ปรับตัวขึ้นได้กว่า 1% จากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แม้ว่าตลาดหุ้นจะปรับขึ้นขานรับรายงานที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯอาจออกจากโรงพยาบาลได้ในเร็วๆนี้ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงประมาณ 0.4%
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด +0.7% ที่ 1,912.8 เหรียญ หลังจากที่ขึ้นไปทำสูงสุดตั้งแต่ 22 ก.ย. ที่ระดับ 1,918.36 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +0.7% ที่ระดับ 1,920.1 เหรียญ
· กองทุนทองคำ SPDR ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม ปัจจุบันถือครองทองคำเท่าเดิมที่ 1,275.6 ตัน
· นักกลยุทธ์ฝ่ายการตลาดอาวุโสจาก RJO Futures กล่าวว่า ตลาดเริ่มเห็นแววข้อตกลงบ้างเล็กน้อย หลังจากที่นางเพโลซี อาจเห็นพ้องกับข้อตกลงของฝั่งรีพับลิกัน จึงอาจเกิดข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วๆนี้ และนี่เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ แต่ความเชื่อมั่นในภาวะ Risk-On ก็ดูจะส่งผลลบต่อทองคำจึงอาจทำให้เราเห็นทองคำเคลื่อนไหว “Sideways” ได้ในสัปดาห์นี้
· เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกดูจะตอบรับข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับการที่นายทรัมป์อาจถูกปล่อยจากโรงพยาบาล จึงไม่ได้สนใจคำเตือนของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ว่ากรณีของนายทรัมป์อาจอยู่ในกลุ่มอาการขั้นรุนแรง
· นักวิเคราะห์จาก TD Securities กล่าวว่า แม้จะมีความเห็นแตกต่างกัน แต่บรรดาเจ้าหน้าที่จากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันมีแนวโน้มจะช่วยกันผลักดันข้อตกลงทางการเงินเนื่องจาก เนื่องจากน่าจะไม่มีเวลาพอในการทำคะแนนของพรรครีพับลิกัน เนื่องจากนายไบเดน ณ เวลานี้ดูจะมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ
· ตลาดกำลังรอการประกาศรายงานประชุมเฟดเดือนก.ย. ที่จะมีขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้
· ราคาซิลเวอร์ปิด +2.4% ที่ 24.27 เหรียญ ด้านแพลทินัมปิด +1.3% ที่ระดับ 893 เหรียญ ด้านพลาเดียมปิด +2.5% ที่ 2,366 เหรียญ
· “เพโลซี – มนูชิน” หารือร่วมชั่วโมงแต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมกันได้
เมื่อวานนี้ นางแนนซี เพโลซี โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และนายสตีเวน มนูชิน มีการเจรจากันนานร่วมชั่วโมงผ่านทางโทรศัพท์ แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อตกลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมกันได้
อย่างไรก็ดี ในวันนี้จะมีการเจรจากันต่อ โดยที่ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะเร่งผลักดันให้เกิดข้อตกลงร่วมกันให้ได้ในเร็ววัน ท่ามกลางความคืบหน้าในการเจรจาที่มากขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แม้จะยังไม่เกิดข้อตกลงใดๆก็ตาม
กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ แสดงความกังวลว่า การปราศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่มีโอกาสจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลงมากขึ้น
· “ทรัมป์” ออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวต่อที่ทำเนียบขาว
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกจากโรงพยาบาลที่เข้ารักษาอาการ Covid เป็นที่เรียบร้อย และจะมีการเข้ารักษาอาการต่อที่ทำเนียบขาว แต่เขาก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มกลับมาหาเสียงเลือกตั้งอีกครั้ง
· บรรดาแพทย์กังวลว่านายทรัมป์อาจ “ได้รับการรักษาที่มากเกินจำเป็น” ด้วยสิทธิ VIP
· เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวส่วนใหญ่พบติดเชื้อ Covid-19
รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า พบจำนวนเจ้าหน้าที่จากทางทำเนียบขาวมีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มขึ้น และรวมถึงบรรดาสมาชิกระดับสูงของพรรครีพับลิกันด้วย และประเด็นนี้ได้ทำให้ตลาดการเงินบางส่วนเริ่มกังวลว่าจะทำให้การดำเนินงานของสภาคองเกรสมีความล่าช้าออกไป เนื่องด้วยวุฒิสภาจำเป็นต้องเลื่อนการลงมติต่างๆ หลังจากที่สมาชิกพรรครีพับลิกันจำนวนไม่น้อยกว่า 3 รายตรวจพบการติดเชื้อ
ขณะที่หลายๆคนเคยมีผลตรวจเป็นลบ แต่การกลับมาพบเชื้อคือหลังจากที่มีการพบกับนายทรัมป์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
· อาการติดเชื้อของนายทรัมป์ และสัญญาณที่อ่อนแอทางเศรษฐกิจ สร้างความท้าทายต่อการเลือกตั้งรอบนี้!
หลังมีข่าวการติดเชื้อไวรัสโคโรนาของนายทรัมป์ ควบคู่กับภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสดังกล่าวดูจะส่งผลต่อคะแนนนิยมในตัวของนายทรัมป์
ขณะที่ข้อมูลจ้างงานเดือนก.ย. ที่ปราศจากการขยายตัวเพราะได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาก็ดูจะกระทบต่อความนิยมในตัวนายทรัมป์ในเชิงลบ และทำให้คะแนนนิยมในตัวของนายไบเดน คู่แข่งเพิ่มขึ้น
RealClearPolitics เผยโพลล์ล่าสุด พบว่านายไบเดนมีคะแนนนิยมนำทรัมป์ไปแล้ว 8.3% ขณะที่ NBC News/Wall Street Journal เผยโพลล์ที่ว่าไบเดนนำไป 14 แต้ม
และจากนี้ก็จะไม่มีการประกาศข้อมูลภาคแรงงานหลักๆที่จะส่งผลต่อการแสดงทักษะการสร้างแรงงานของนายทรัมป์อีก
ทั้งนี้ คนว่างงานในสหรัฐฯยังอยู่ระดับสูงมากถึง 11.4 ล้านรายนับตั้งแต่ที่เผชิญกับภาวะ Shutdown ทางเศรษฐกิจในเดือนมี.ค. และเม.ย. ขณะที่ข้อมูลจ้างงานรัฐบาลยังน้อยกว่าครึ่งหรือเพิ่มขึ้นได้เพียง 1.5 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. และอัตราว่างงานนที่ถึงแม้จะลดลงมาที่ 7.9% แต่ก็ยังถือเป็นระดับสูงที่สุดในการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทุกยุคตั้งแต่ปี 1948
นอกจากนี้ ผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์ก็ยังมีค่าเฉลี่ยเหนือ 800,000 ราย/สัปดาห์ ท่ามกลางพรรครีพับลิกันที่ยังไม่สามารถตกลงแพ็คเกจเศรษฐกิจเพิ่มเติม ท่ามกลางเดโมแครตที่พยายามเร่งให้เกิดมาตรการเพื่อหนุนการฟื้นภาคแรงงานอีกครั้ง
· ทรัมป์ตั้งใจเข้าร่วมดีเบตประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งที่ 2 ในวันที่ 15 ต.ค.นี้
· วันพรุ่งนี้ จะมีการดีเบตระหว่างว่าที่รองประธานาธิบดีทั้งสอง
· ประธานเฟดชิคาโกชี้ เฟดจะต้องชนะเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ภายในปี 2023
· สมาชิกธนาคารกลางอังกฤษ เปิดกว้างต่อการใช้ตราดอกเบี้ยติดลบ ท่ามกลางความเสี่ยงของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่
· CDC ทบทวนมาตรการแนะนำ Covid-19 ที่สามารถแพร่ระบาดทางอากาศได้ และอยู่ได้นานเป็นชั่วโมง และสามารถกระจายได้มากถึง 1.8 เมตร
· WHO คาด มีโอกาสที่ประชากรทั่วโลกกว่า 10% จะติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่ม
· IMF เรียกร้องให้บรรดารัฐบาลต่างๆทำการหนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนช่วยเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 พร้อมกับหนุนการขยายการใช้มาตรการดอกเบี้ยระดับต่ำเพื่อสร้างโอกาสใสการลงทุนมากขึ้น
· ภาคธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯประสบภาวะล้มลายเพิ่มกว่า 33% ในปีนี้
โดยพบเคสใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 78% เพราะได้รับแรงกดดันจากการระบาดของไวรัสโคโรนาที่กระทบต่อภาคธุรกิจขนาดเล็กอย่างมาก
· นักบริหารการเงิน คาดว่า กรอบเงินบาทระหว่างวัน 31.21-31.41 บาทต่อดอลลาร์ โดยตลาดการเงินกลับมาฟื้นตัวสดใสในช่วงคืนที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐและ STOXX 600 ของยุโรปปรับตัวขึ้น จากการฟื้นไข้ของทรัมป์ ด้านเงินบาทระยะสั้นได้รับแรงหนุนแข็งค่า จากการขายดอลลาร์ของนักลงทุนต่างชาติ ตามกระแสการอ่อนค่าของดอลลาร์ และหากเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวบางส่วนกลับเข้ามาได้ จะสร้างมุมมองเชิงบวกกับทั้งเงินบาทและตลาดทุ้นไทยได้อีก
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
-เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คนใหม่
- กระทรวงพาณิชย์ เผยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนก.ย.63 หดตัว -0.70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญที่ปรับตัวลดลงตามตลาดโลก พร้อมประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อไตรมาส 4 ปีนี้จะหดตัวเล็กน้อยที่ -0.34% โดยทั้งปี 63 ยังให้ประมาณการเงินเฟ้อไว้ในกรอบเดิมที่ -1.5 ถึง -0.7% หรือค่ากลางที่ -1.1%