• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2563

    7 ตุลาคม 2563 | SET News
   

·         ดัชนีสหรัฐฯฟิวเจอร์สปรับขึ้นท่ามกลางหุ้นสหรัฐฯที่มีแนวโน้มรีบาวน์ได้หลังปรับลงวานนี้


 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯฟิวเจอร์สปรับตัวขึ้นได้ในวันนี้ หลังจากที่เมื่อวานนี้ 3 ดัชนีหลักมีการปรับตัวลงจากการที่นายทรัมป์ประกาศยกเลิกเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจนกว่าจะเลือกตั้งเสร็จ

 

โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับขึ้นได้กว่า 126 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ฟิวเจอร์ส และ Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส เคลื่อนไหวในแดนบวกเช่นกัน

 

หุ้นเอเชียดิ่งหลังจากที่รีบาวน์ช่วงเช้า ตลาดยังถูกกดดันจากประเด็นทรัมป์วานนี้

 

ดัชนี Nikkei225 ปิด -0.05% ท่ามกลางแรงขายในหุ้นบริษัท Paper & Pulp, หุ้นบริษัทด้านรถไฟฟ้าและรถประจำทาง รวมทั้งหุ้นกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์เคลื่อนไหวแดนลบ

 

หุ้นฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ปรับตัวลดลงในวันนี้ตามตลาดหุ้นทั่วโลกจากการที่นายทรัมป์เลือกไม่เจรจากระตุ้นเศรษฐกิจต่อ

 

ดัชนีตลาดฟิลลิปปินส์ปิด -1% ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบ 4 เดือน และความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อันเนื่องจากบางส่วนของประเทศยังคงมีมาตรการคุมเข้มเพื่อจำกัดการระบาดของไวรัสโคโรนา และการที่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ยังคงดอกเบี้ย

 

*นักวิเคราะห์จาก OANDA ไม่เชื่อว่าข้อตกลงทางการค้าจะจบไปตลอด แต่วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียก็มีแนวโน้มจะตอบรับกับข่าวการไร้ข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

 

* นายทรัมป์ ณ เวลานี้ มีคะแนนนิยมตามหลังนายไบเดนแทบทุกโพลล์ ซึ่งหากเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้ ทางเดโมแครตก็ดูเหมือนจะผลักดันแพ็คกเจกระตุ้นเศรษฐกิจได้

 

โดยตลาดต่างๆในเอเชียกำลังจับตาดูด้วยว่า หากนายไบเดนเป็นประธานาธิบดีคนใหม่จะมีการผ่อนคลายความตึงเครียดกับจีนหรือไม่ เพราะจีนถือเป็นประเทศหลักของภูมิภาคในด้านการขยายตัว

 

* ตลาดการเงินจีนจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งในวันศุกร์นี้ หลังจากที่หยุดยาวในช่วง Golden Week

 

·         ·         Nikko Asset Management ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกอาจมีภาพรวมที่ดูดีกว่าตลาดอื่นๆในอีก 6 เดือนข้างหน้า

 

หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Nikko Asset Management ระบุว่า ตลาดหุ้นต่างๆเผชิญกับความไม่แน่นอนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่คาดว่าหุ้นบริษัทในแถบเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดจะสดใสได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า เนื่องด้วยนักลงทุนระยะยาวดูจะมีการเพิ่มสถานการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นดังกล่าว

 

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น 0.4% แตะระดับสูงุสดใหม่ในรอบ 2 สัปดาห์ นำโดยการเพิ่มขึ้น 1.3% ในออสเตรเลีย

 

 

 

·         ·         หุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมผสาน ท่ามกลางผลประกอบการที่ถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ

 

ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมผสานกันในวันนี้ เนื่องจากเหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และการตัดสินใจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะยุติการเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปจนถึงหลังการเลือกตั้งเดือนพ.ย.

 

โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดเอเชียตอบสนองต่อประเด็นที่นายทรัมป์ประกาศยุติการเจรจาแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจกับพรรคเดโมแครต

 

ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx600 เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัว ด้านหุ้นสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น 1.1% และหุ้นประกันภัยร่วงลง 1.1%

 

 

อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

·         ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,253.62 จุด เพิ่มขึ้น 3.47 จุด (+0.28%) มูลค่าการซื้อขายราว 23,654.15 ล้านบาท


การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยดัชนีทำระดับสูงสุดที่
1,253.62 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,245.09 จุด นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งแคบอย่างไร้ทิศทาง คล้ายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ สั่งการให้คณะบริหารของทำเนียบขาวระงับการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่กับพรรคเดโมแครต ไปจนถึงหลังวันเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พ.ย. และราคาน้ำมันดิบก็ทรงตัวทำให้มีแรงขายทำกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงานออกมาบ้าง

 

 

·         "แบงก์ชาติ" เปิดร่างหลักเกณฑ์การคิด "ดอกเบี้ยปรับ" กรณีผิดนัดชำระหนี้ ขีดเส้นเรียกเก็บเพิ่มได้ไม่เกิน 3% หวังช่วยลดภาระลูกหนี้ ลดแรงจูงใจให้กลายเป็นหนี้เสีย คาดมีผลบังคับใช้ 1 เม.ย.64

 

 

·         "ทีเอ็มบี" มองคลายล็อกดาวน์ไม่หนุน บริโภคภาคเอกชนยังแผ่ว แนะรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นใช้จ่ายเป็นแพ็กเกจ เน้นเจาะกลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทและธุรกิจเอกชน เหตุรายได้ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

 

 

·         คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับประมาณการส่งออกในปี 2563 หดตัวในกรอบ -10.0% ถึง -8.0% ดีขึ้นจากเดิมที่คาด -12.0% ถึง -10.0% เนื่องจากการส่งออกในไตรมาส 3 หดตัวน้อยกว่าที่คาดไว้เดิม โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ภายหลังการคลายล็อกดาวน์ทั่วโลก ซึ่งสินค้ากลุ่มอาหารและสุขอนามัยที่เป็นที่ต้องการมีการขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังต่ำกว่าปกติอยู่มาก เห็นได้จากจำนวนผู้ว่างงานที่ยังไม่ลดลง


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com