· ดัชนีสหรัฐฯฟิวเจอร์สปรับขึ้นท่ามกลางหุ้นสหรัฐฯที่มีแนวโน้มรีบาวน์ได้หลังปรับลงวานนี้
ฃ
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯฟิวเจอร์สปรับตัวขึ้นได้ในวันนี้ หลังจากที่เมื่อวานนี้ 3 ดัชนีหลักมีการปรับตัวลงจากการที่นายทรัมป์ประกาศยกเลิกเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจนกว่าจะเลือกตั้งเสร็จ
โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับขึ้นได้กว่า 126 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ฟิวเจอร์ส และ Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส เคลื่อนไหวในแดนบวกเช่นกัน
หุ้นเอเชียดิ่งหลังจากที่รีบาวน์ช่วงเช้า ตลาดยังถูกกดดันจากประเด็นทรัมป์วานนี้
ดัชนี Nikkei225 ปิด -0.05% ท่ามกลางแรงขายในหุ้นบริษัท Paper & Pulp, หุ้นบริษัทด้านรถไฟฟ้าและรถประจำทาง รวมทั้งหุ้นกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์เคลื่อนไหวแดนลบ
หุ้นฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ปรับตัวลดลงในวันนี้ตามตลาดหุ้นทั่วโลกจากการที่นายทรัมป์เลือกไม่เจรจากระตุ้นเศรษฐกิจต่อ
ดัชนีตลาดฟิลลิปปินส์ปิด -1% ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบ 4 เดือน และความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อันเนื่องจากบางส่วนของประเทศยังคงมีมาตรการคุมเข้มเพื่อจำกัดการระบาดของไวรัสโคโรนา และการที่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ยังคงดอกเบี้ย
*นักวิเคราะห์จาก OANDA ไม่เชื่อว่าข้อตกลงทางการค้าจะจบไปตลอด แต่วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียก็มีแนวโน้มจะตอบรับกับข่าวการไร้ข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
* นายทรัมป์ ณ เวลานี้ มีคะแนนนิยมตามหลังนายไบเดนแทบทุกโพลล์ ซึ่งหากเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้ ทางเดโมแครตก็ดูเหมือนจะผลักดันแพ็คกเจกระตุ้นเศรษฐกิจได้
โดยตลาดต่างๆในเอเชียกำลังจับตาดูด้วยว่า หากนายไบเดนเป็นประธานาธิบดีคนใหม่จะมีการผ่อนคลายความตึงเครียดกับจีนหรือไม่ เพราะจีนถือเป็นประเทศหลักของภูมิภาคในด้านการขยายตัว
* ตลาดการเงินจีนจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งในวันศุกร์นี้ หลังจากที่หยุดยาวในช่วง Golden Week
· · Nikko Asset Management ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกอาจมีภาพรวมที่ดูดีกว่าตลาดอื่นๆในอีก 6 เดือนข้างหน้า
หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Nikko Asset Management ระบุว่า ตลาดหุ้นต่างๆเผชิญกับความไม่แน่นอนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่คาดว่าหุ้นบริษัทในแถบเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดจะสดใสได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า เนื่องด้วยนักลงทุนระยะยาวดูจะมีการเพิ่มสถานการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นดังกล่าว
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น 0.4% แตะระดับสูงุสดใหม่ในรอบ 2 สัปดาห์ นำโดยการเพิ่มขึ้น 1.3% ในออสเตรเลีย
· · หุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมผสาน ท่ามกลางผลประกอบการที่ถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมผสานกันในวันนี้ เนื่องจากเหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และการตัดสินใจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะยุติการเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปจนถึงหลังการเลือกตั้งเดือนพ.ย.
โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดเอเชียตอบสนองต่อประเด็นที่นายทรัมป์ประกาศยุติการเจรจาแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจกับพรรคเดโมแครต
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx600 เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัว ด้านหุ้นสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น 1.1% และหุ้นประกันภัยร่วงลง 1.1%
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
· ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,253.62 จุด เพิ่มขึ้น 3.47 จุด (+0.28%) มูลค่าการซื้อขายราว 23,654.15 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,253.62 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,245.09 จุด นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งแคบอย่างไร้ทิศทาง คล้ายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ สั่งการให้คณะบริหารของทำเนียบขาวระงับการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่กับพรรคเดโมแครต ไปจนถึงหลังวันเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พ.ย. และราคาน้ำมันดิบก็ทรงตัวทำให้มีแรงขายทำกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงานออกมาบ้าง
· "แบงก์ชาติ" เปิดร่างหลักเกณฑ์การคิด "ดอกเบี้ยปรับ" กรณีผิดนัดชำระหนี้ ขีดเส้นเรียกเก็บเพิ่มได้ไม่เกิน 3% หวังช่วยลดภาระลูกหนี้ ลดแรงจูงใจให้กลายเป็นหนี้เสีย คาดมีผลบังคับใช้ 1 เม.ย.64
· "ทีเอ็มบี" มองคลายล็อกดาวน์ไม่หนุน บริโภคภาคเอกชนยังแผ่ว แนะรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นใช้จ่ายเป็นแพ็กเกจ เน้นเจาะกลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทและธุรกิจเอกชน เหตุรายได้ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
· คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับประมาณการส่งออกในปี 2563 หดตัวในกรอบ -10.0% ถึง -8.0% ดีขึ้นจากเดิมที่คาด -12.0% ถึง -10.0% เนื่องจากการส่งออกในไตรมาส 3 หดตัวน้อยกว่าที่คาดไว้เดิม โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ภายหลังการคลายล็อกดาวน์ทั่วโลก ซึ่งสินค้ากลุ่มอาหารและสุขอนามัยที่เป็นที่ต้องการมีการขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังต่ำกว่าปกติอยู่มาก เห็นได้จากจำนวนผู้ว่างงานที่ยังไม่ลดลง