ทองขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
· ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความกังวลเรื่องการสนับสนุนมาตรกรกระตุ้นเศรษบกิจของสหรัฐฯ ท่ามกลางที่ตลาดรอฟังแนวโน้มทางการเงินจากรายงานประชุมเฟด
ราคาทองคำตลาดโลกปิดปรับขึ้น 0.4% ที่ 1,884.46 เหรียญ
สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด -1.3% ที่ 1884.60 เหรียญ
· กองทุน SPDR เมื่อวานนี้ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,271.52 ตัน
· กรรมการผู้จัดการจาก GraniteShares. กล่าวว่า การที่นายทรัมป์ไม่เจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ กลับมาช่วยหนุนทองคำต่อแม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลงเพียงเล็กน้อย แต่ความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตไวรัสโคโรนาสะท้อนว่าไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ยังไงก็ต้องมีการผ่านร่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอย่างแน่นอน และเฟดจะต้องมีการเดินหน้าผ่อนคลายทางการเงินต่อไป
· หัวหน้าฝ่ายการลงทุนจาก Sica Wealth Management กล่าวว่า คาดการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้ออันเป็นผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ยังเป็นปัจจัยที่สนับสนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ความเป็นไปได้ของผลการเลือกตั้งก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ทองคำถูกถือครองในฐานะ Safe-Haven ควบคู่ไปด้วย
· ราคาซิลเวอร์ปิด +2.7% ที่ 23.70 เหรียญ ด้านแพลทินัมปิด +0.9% ที่ 856.15 เหรียญ และราคาพลาเดียมปิด +0.9% ที่ 2,362.41 เหรียญ
· รายงานประชุมเฟดเดือนก.ย.
- เฟดมีมติคงดอกเบี้ยในการประชุมระหว่างวันที่ 15-16 ก.ย. และมีสัญญาณต่อการหนุนเงินเฟ้อครั้งใหม่
- สมาชิกเฟดยังมีมุมมองที่แตกต่างกันในเรื่องวิธีการปรับกลยุทธ์ทางการเงินครั้งใหม่
- เฟดมีความไม่มั่นใจมากขึ้นต่อทิศทางเศรษฐกิจ จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีขั้นตอนต่อไปอย่างไรในการช่วยฟื้นเศรษฐกิจจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
- สมาชิกเฟด ชี้ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมาเพราะได้รับอานิสงส์จากการกระตุ้นทางการเงินของสหรัฐฯ
- สมาชิกเฟดค่อนข้างกังวลว่า หากปราศจากมาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจจากสภาคองเกรสจะส่งผลเสียต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
· ประธานเฟดมินนีแอโพลิส คาด เศรษฐกิจอาจแย่ลงหลังปราศจากการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ
นายนีล คาร์ชคาริ ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิส กล่าวว่า การปราศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในภาคธุรกิจ, แรงงาน, หน่วยงานและรัฐบาลท้องถิ่น อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจตามลำดับ รวมทั้งมีโอกาสเห็นเศรษฐกิจเป็นขาลงแย่กว่าที่ควรจะเป็น
· ประธานเฟดสาขาชิคาโก ระบุว่า เฟดยังไม่เข้มงวดต่อกรอบเวลาเงินเฟ้อ
นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า ประธานเฟด จะคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปจนถึงปี 2023 เพื่อให้เงินเฟ้อถึงเป้าหมายก่อนจึงค่อยทำการเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะแตะ 2% ได้ภายในปี 2023
· ทรัมป์กลับมาปฏิบัติงานที่ทำเนียบขาว ขณะที่แพทย์ระบุว่าเขาไม่มีอาการของเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน นายทรัมป์ กล่าวว่า ไม่มีประธานาธิบดีในโลกที่ผลักดันองค์กรอาหารและยา (FDA) ได้ดีเท่าเขา และวัคซีนก็ใช้เวลาเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น
· เจรจากระตุ้นเศรษฐกิจล่ม ส่อแววชะลอการเติบโต
บรรดานักวิเคราะห์มองว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯอาจประสบภาวะชะงักงันจากการขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 3/2020 ให้ขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีการขยายตัวได้เลยจนถึงสิ้นปี 2020 และช่วงเริ่มต้นปี 2021
· Reuters รายงานว่า คนว่างงานสหรัฐฯไม่มีแนวโน้มจะได้รับการสนับสนุนสวัสดิการว่างงานก่อนเลือกตั้งพ.ย.นี้ และจะทำให้ได้รับการจ่ายสวัสดิการเหลือเพียง 5 เหรียญ/สัปดาห์ เมื่อปราศจากมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม
· ด้านทรัมป์ต้องการให้คองเกรสอนุมัติจ่ายเช็ค 1,200 เหรียญให้แก่ชาวอเมริกา แต่ก็ดูจะเป็นเรื่องยากที่จะผ่านความเห็นชอบจากหลายฝ่าย
นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังเรียกร้องให้เกิดร่างกฎหมายงบประมาณ 2.5 หมื่นล้านเหรียญสำหรับภาคอุตสาหกรรมสายการบิน และ 1.35 แสนล้านเหรียญสำหรับโปรแกรมเงินกู้ PPP ให้แก่กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก
· “เพโลซี-มนูชิน” หารืองบช่วยสายการบิน และคาดเจรจาต่อในวันนี้
· กลุ่มผู้นำภาคธุรกิจ ออกโรงเตือนว่าคนว่างงานคือความเสี่ยงครั้งใหญ่ของโลก
รายงานจาก World Economic Forum เผยถึงมุมมองของเจ้าหน้าที่บริหารภาคธุรกิจทั่วโลก ที่ระบุว่า คนว่างงานที่เพิ่มมากขึ้นอาจสร้างความเสี่ยงครั้งใหญ่ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยอัตาราว่างานมีการปรับตัวสูงขึ้นจากการ Lockdown และการใช้มาตรการคุมเข้มต่างๆเพื่อต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรนา และทำให้เกิดความกังวลของแต่ละประเทศจากการพักงานที่เกิดขึ้นด้วย
· ความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบกับกลุ่มนักช้อปปิ้ง - กลุ่มค้าปลีก ในช่วงวันหยุดเทศกาลที่กำลังจะเริ่มขึ้น
· ประเทศเศรษฐกิจหลักในยุโรปหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจ หลังประสบภาวะ Second Wave
โดยจะเห็นได้ว่าสเปนเริ่มมีการคาดการณ์ถึงเศรษฐกิจที่อาจแย่ลงมากกว่าที่เคยเกิดวิกฤต โดยธนาคารกลางสเปนคาดจีดีพีอาจดิ่งมากถึง -12.6% ในปีนี้ จากคาดการณ์เดิมที่ -10%
ขณะที่ฝรั่งเศสกล่าวเตือนว่าเศรษฐกิจอาจรีบาวได้ช้าลงในไตรมาสที่ 4 ท่ามกลางการระบาดที่เพิ่มขึ้นฉุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ล่าสุดประธานาธิบดีฝรั่งเศสประกาศมาตรการคุมเข้ม Covid-19 รอบใหม่เป็นที่เรียบร้อย
ยอดติดเชื้อในอังกฤษที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มจะทำให้เศรษฐกิจอังกฤษชะลอตัว และคาดและคาดว่าจีดีพีที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้จะออกมา -7% เมื่อเทียบรายปี หลังงจากที่แย่ที่สุดในช่วง Q2/20 ที่ระดับ -25%
· นักบริหารเงิน คาดว่าวันนี้ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.15-31.35 บาท/ดอลลาร์
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (ศบศ.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ "ช้อปดีมีคืน" ภายใต้มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ เป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 63 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.-31 ธ.ค.63
- กกร.ปรับประมาณการส่งออกในปี 63 หดตัวในกรอบ -10.0% ถึง -8.0% ดีขึ้นจากเดิมที่คาดหดตัว -12.0% ถึง -10.0% เนื่องจากการส่งออกในไตรมาส 3 หดตัวน้อยกว่าที่คาดแต่ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2563 หดตัวในกรอบ -9.0% ถึง -7.0% และอัตราเงินเฟ้อคงเดิมที่ -1.5% ถึง -1.0%