

นักวิแคราะห์ส่วนใหญ่ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การดีเบตครั้งนี้ “มีความสุภาพมากกว่า” รอบก่อน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองหรือคาดการณ์ใดๆของตลาด เนื่องจากยังปราศจากแนวทางขนาดใหญ่
ดังนั้น นักลงทุนในเอเชียจึงยังปรับพอร์ตเป็น “Wait and See” เนื่องจากน่าจะมีความผันผวนมากขึ้นต่อไปในช่วงก่อนการเลือกตั้ง
- หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาดจาก Prudential Financial กล่าวว่า ตลาดต่างๆและกลุ่มผู้สนับสนุนน่าจะกำลังรอสัปดาห์หน้า ว่าจะเกิดการดีเบตของผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯหรือไม่
- ผู้จัดการกองทุนประจำ Global Fixed-Income ของ Asset Management One มองว่า “เพนซ์” ดูจะมีการปราศรัยที่ดีกว่านายทรัมป์ แต่ก็ต้องดูว่านายทรัมป์จะมีท่าทางอย่างไรในการดีเบตครั้งหน้า ที่ดูเหมือนว่านายไบเดนอาจจะยังมีคะแนนนำต่อแต่เขาก็ไม่เชื่อโพลล์สำรวจใดๆ
“ไม่ว่าใครจะชนะ ก็ต้องรอดูผลในช่วง 1 หรือ 2 เดือน จากนโยบายที่จะเกิดขึ้น”
ท่ามกลางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจปรับตัวลดลงต่อจากการปราศจากมาตรการสนับสนุน และบริษัทต่างๆยังไม่สามารถกลับมาจ้างงานได้มากขึ้น
ตลาดหุ้นจะค่อนข้างเปราะบางอย่างมาก ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯมีแนวโน้มจะดำเนินนโยบายที่แย่ลง และทำให้ประชาชนวิตกกังวล ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มจะปรับตัวลงมา
- นักกลยุทธ์การตลาดจาก Sumitomo Mitsui Trust Bank มองว่า สำหรับการดีเบตครั้งนี้ยังไม่น่ามีใครเป็นฝ่ายนำกันได้ เนื่องจาก “นางแฮริส” อาจทำได้เพียงวิพากษ์วิจารณ์นายทรัมป์มากขึ้นต่อกรณีการจัดการกับวิกฤตไวรัสโคโรนา ขณะที่ “นายเพนซ์” ดูจะเป็นการง่ายสำหรับเขาในการวิจารณ์นโยบายทางเศรษฐกิจที่พรรคเดโมแครตชอบใช้
หากนายทรัมป์สามารถหายจาก Covid ได้จริง ก็จะช่วยเพิ่มเสียงสนับสนุนให้แก่เขาและสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ได้
แต่ “นายไบเดน” ยังคงมีคะแนนนำอยู่ในเวลานี้ พร้อมกับคำถามครั้งใหญ่ว่า “เดโมแครต” จะสามารถครองทำเนียบขาวและเสียงข้างมากในสภาคองเกรสได้หรือไม่ เพราะไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไรก็จะถูกขัดขวาง และนี่ดูจะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับสูงขึ้นควบคู่กับ “ดอลลาร์แข็งค่า”
อย่างไรก็ดี “ยังคงมีความไม่แน่นอนอย่างมาก และนี่คือสิ่งที่ยากมากขึ้นสำหรับตลาดในการคาดเดาทิศทางต่อไป”
ที่มา: Reuters, NBC News
