
นายทรัมป์ และนายไบเดน มีกำหนดการปราศรัยถามตอบในรูปแบบ Town Hall โดยเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน แต่คนละสถานที่ และมีการออนแอร์คนละสถานี
สรุปประเด็นสำคัญระหว่าง “ทรัมป์” vs “ไบเดน”
ภาพรวมนายทรัมป์ดูจะมีอาการไม่พอใจและปฏิเสธที่จะตอบข้อซักถามในกรณี White Supermacy (คนขาวเป็นใหญ่ที่สุด) และเรื่อง QAnon หรือทฤษฎีสมคบคิด และปฏิเสธความรับผิดชอบต่อยอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มมากขึ้นในสหรัฐฯ รวมทั้งแสดงท่าทีต่อต้านและไม่ยอมรับในข้อเท็จจริง
ขณะที่นายไบเดนดูจะมีการอธิบายถึงแผนการดำเนินงานด้วยท่าทีที่สุขุมตามแบบฉบับของเขาในอีกเวที และมีการกล่าวถึงแนวทางการดำเนินนโยบายในเชิงลึก แต่มีการพูดจาด้วยอย่างสุภาพ
นอกจากนี้ นายไบเดนมีการกล่าวย้ำถึงการเป็นเอกภาพและดำเนินการร่วมกับพรรครีพับลิกัน
ทางด้าน นายทรัมป์ ดูจะมุ่งแต่การกล่าวโจมตีพรรคเดโมแครต และตำหนิหรือกล่าวโทษนายกเทศมนตรีและผู้ว่าการรัฐที่ปล่อยให้เกิดความวุ่นวาย และการระบาดของไวรัสโคโรนา
สำหรับเรื่องการแต่งตั้งผู้ว่าการศาลสูงสุด จากกรณีที่ นางเอมี โคนีย์ แบร์เรตต์ ที่ได้รับการเสนอชื่อนายทรัมป์
นายไบเดนกล่าวว่า เขาจะประกาศจุดยืนในเรื่องนี้ก่อนวันเลือกตั้ง และจะขึ้นอยู่กับท่าทีของพรรครีพับลิกันว่าจะผลักดันเธอให้ดำรงตำแหน่งหรือไม่ และเขาค่อนข้างเปิดกว้างต่อการพิจารณาในเรื่องนี้
กรณี Covid-19
นายไบเดนยืนยันว่าจะมีการใช้วัคซีน Covid-19 ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากทางทีมนักวิทยาศาสตร์ และหากเขาได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็จะมีการพิจารณาการบังคับใช้วัคซีนและมีการเพิ่มความระมัดระวังร่วมด้วย โดยจะขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละรัฐในการได้รับวัคซีน รวมถึงการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง
ขณะที่ นายทรัมป์ กล่าวย้ำว่าจากกรณีศึกษาพบว่าแม้ประชาชนจะสวมใส่หน้ากากมากถึง 85% แต่คนกลุ่มนี้ก็สามารถติด Covid-19 ได้ และส่งผลให้พิธีกรมีการแย้งว่า ในรายงานไม่ได้ระบุไว้แบบนี้ แต่นายทรัมป์ก็ยังให้น้ำหนักกับสิ่งที่ได้ยินมา
นอกจากนี้ นายไบเดนอาจเรียกร้องให้นายทรัมป์ทำการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาก่อนการดีเบตรอบ 2 ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า
ประเด็นนโยบายต่างประเทศ
นายไบเดน มองว่านโยบายการต่าปงระเทศของนายทรัมป์ในการทำข้อตกลงฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศอิสราเอล, สหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน ดูจะเป็นเรื่องที่ดีและทางตะวันออกกลางมีเสถียรภาพขึ้น แต่นโยบาย America First ก็ดูจะทำให้สหรัฐฯโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนกับชาติพันธมิตร
ที่มา: CNBC, Los Angeles Times
