สำหรับความไม่แน่นอนยังมีอยู่ในระดับ “สูง” หากการเจรจาข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้ยังตกลงกันไม่ได้ และคาดอาจต้องรอ “นานขึ้น” ก่อนที่จะเกิดบทสรุปการช่วยเหลือในขั้นตอนสุดท้าย
นักวิเคราะห์จาก Raymond James ระบุว่า หากความพยายามครั้งนี้ของทั้งสองพรรคไม่ประสบความสำเร็จ “การเจรจา” ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง
สภาคองเกรสดูจะจำเป็นที่จะต้องกลับมาพิจารณาเงินทุนสำหรับภาครัฐให้ได้ก่อน 11 ธ.ค.นี้ “เพื่อเลี่ยงภาวะ Shutdown” ซึ่งการเพิ่มมาตรการช่วยเหลือก็อาจเกิดขึ้นได้ในเวลานั้นเช่นกัน
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะคงการเจรจาไว้จนกว่าจะถึงพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ถ้าเป็นกรณีข้างต้น ทั้งสองฝ่ายก็ไม่น่าจะทำอะไรร่วมกันต่อจนกว่าจะถึงเดือนก.พ. หรือ มี.ค. ซึ่งจะเป็นเวลาครบ 1 ปีที่มีการผ่านกฎหมาย CARES Act
ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.นี้ จะเป็น “ปัจจัยสำคัญ” สำหรับทิศทางการเพิ่มการช่วยเหลือ และเรามองว่า
“หากทรัมป์ชนะ” ก็อาจได้รับเงินช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว
“หากไบเดนชนะ” ก็อาจมีการเตรียมเพิ่มการช่วยเหลือในวงเงินที่มากกว่า
ชาวอเมริกาจะได้รับเงินช่วยเหลือเท่าไร?
หนึ่งในประเด็นที่ยังไม่สามารถเจรจากันได้คือ “จำนวนเงินช่วยเหลือโดยตรง” แก่ชาวอเมริกา
ทั้งสองฝ่ายต้องการเกิดการจ่ายเช็คช่วยเหลือแก่ประชาชนประมาณ 1,200 เหรียญ โดยที่พรรคเดโมแครตต้องการให้ทุกคนที่มีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมีสิทธิ์ได้รับมากกว่าหมายเลขประกันสังคมที่ถูกรวมอยู่ในเช็คใบแรก ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้รับการยกเว้นการภาษีได้
แต่ “รีพับลิกัน” ไม่เห็นด้วย
นอกจากนี้ ทางเดโมแครตเสนอวงเงิน 600 เหรียญ/สัปดาห์ สำหรับเป็นสวัสดิการคนว่างงานจนถึงเดือนม.ค. ปีหน้า
ขณะที่พรรครีพับลิกันดูจะสนับสนุนการช่วยเหลือคนว่างงานเพิ่มเติมถึงเดือนธ.ค. เท่านั้น
ที่มา: CNBC