ทองขึ้น - ดอลลาร์อ่อน คืบหน้าเจรจาการกระตุ้นเศรษฐกิจ
· ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นและเช้านี้มีการปรับขึ้นทดสอบ 1,915 เหรียญอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อคืนนี้ราคาทองคำตลาดโลกปิด +0.4% ที่ 1,912.71 เหรียญ และสัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +0.2% แตะ 1,915.4 เหรียญ ท่ามกลางดอลลาร์อ่อนค่า และความหวังการเกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ก่อนเลือกตั้ง
· กองทุนทองคำ SPDR ขายทองคำออก 2.92 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 1,269.93 ตัน
· ผู้อำนวยการฝ่ายการซื้อขายจาก High Ridge Futures กล่าวว่า ตลาดทองคำเคลื่อนไหวเป็นลักษณะ “Wait-and-See” จับตาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางโอกาสที่เพิ่มขึ้นในการเจรจา และหากแผนดังกล่าวมีความชัดเจนก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักของตลาดทองคำ “ในระยะสั้นๆ”
· หัวหน้านักวิเคราะห์จาก ActivTrades กล่าวว่า ในช่วงเวลา 2-3 วันที่ผ่านมาตลาดค่อนข้างมีความผันผวนและนักลงทุนรอความชัดเจนของปัจจัยต่างๆ “หากทองคำยืนเหนือ 1,930 เหรียญได้ ก็จะเป็นการปรับขึ้นที่แข็งแกร่งรอบใหม่”
· นักลงทุนรอคอยการดีเบตรอบสุดท้ายของนายทรัมป์กับนายไบเดนในวันพฤหัสบดีนี้ (หรือวันศุกร์ 08.00-09.30น. ตามเวลาไทย)
· ราคาซิลเวอร์ปิด +0.8% ที่ 24.69 เหรียญ ด้านแพลทินัมปิด +1.9% ที่ 872.6 เหรียญ ขณะที่ราคาพลาเดียมปิด +1.8% บริเวณ 2,385.12 เหรียญ
· ดอลลาร์ทำระดับอ่อนค่ามากสุดรอบ 1 สัปดาห์จากความหวังกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยดัชนีดอลลาร์เช้านี้ปรับอ่อนค่าลง 0.4% แตะ 92.991 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดรอบ 1 สัปดาห์
· ทำเนียบขาวเผย “เพโลซี” – “มนูชิน” คืบหน้าเจรจากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างดี แต่ยังมีข้อแตกต่างขนาดใหญ่อยู่ – วันนี้เจรจาต่อหวังเกิดข้อตกลงให้ได้ก่อนช่วงปลายสัปดาห์นี้
· “ทรัมป์” พร้อมผลักดันข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าสูงกว่า 2.2 ล้านล้านเหรียญ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผลักดันให้เกิดการประนีประนอมทำข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเขาอาจยอมรับข้อตกลงที่มีมูลค่าสูงกว่า 2.2 ล้านล้านเหรียญได้ แม้จะมีเสียงคัดค้านจากการใช้เงินจำนวนมากจากสมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันของเขาก็ตาม
ทั้งนี้ บรรดาส.ว.พรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ยังมองว่าข้อตกลงที่มีค่าใช้จ่ายสูงเกืบอ 2 ล้านล้านเหรียญยังมากเกินไป และพวกเขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับการให้เงินที่น้อยกว่าแต่ตรงกับประเด็นการช่วยเหลือมากกว่า
· ผลสำรวจชี้ ประชาชนสหรัฐฯต้องการให้วุฒิสภาผ่านร่างมาตรการช่วยเหลือ Covid-19 ก่อนการแต่งตั้งประธานศาลสูงสุดคนใหม่
ผลสำรวจจาก CNBC/Change Research Polls เผยว่า ประชาชนกว่า 2 ใน 3 ของประเทศสหรัฐฯ และ 6 รัฐฯใหญ่ต่างเชื่อว่า วุฒิสภาควรให้ความสนใจกับการผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยเยียวยาผลกระทบจากวิกฤต Covid-19 มากกว่าจะทำการแต่งตั้งประธานศาลสูงสุดคนใหม่
โดยกว่า 66% สนับสนุนให้โหวตร่างกระตุ้นเศรษฐกิจ และ 34% ไม่ติดกับการโหวตผู้ศาลสูงสุดก่อน
ขณะที่ 6 รัฐฯใหญ่ซึ่งเป็นคะแนนเสียงสำคัญของการเลือกตั้งกว่า 66% มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำเป็น และอีก 34% มองว่าไม่จำเป็นมาก
· คะแนนนิยม “ไบเดน” ยังนำ “ทรัมป์” 52% ต่อ 42%
ขณะที่ 6 รัฐฯ มีภาพรวมคะแนนนิยม ดังนี้
· CNBC เผยมุมมองตลาดที่ว่า หากรายงานจีดีพีสัปดาห์หน้าโตได้มากกว่าคาดก็ไม่อาจช่วยดึงคะแนนนิยมทรัมป์กลับมาได้
และถึงแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการลงคะแนนผ่านบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์และการออกมาใช้สิทธิ แต่หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก TS Lombard มองว่าก็ไม่น่าจะช่วยให้คะแนนนิยมของนายทรัมป์เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯดูจะฟื้นตัวเป็นลักษณะ ‘V Shaped’
· แผนภาษีของไบเดนอาจส่งผลให้เกิดอัตราภาษีที่สูงมากถึง 62%
ทีมผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่า ผู้ที่มีรายได้สูงในนครนิวยอร์กและแคลอฟอร์เนีย อาจถูกเรียกเก็บภาษีที่ 62% (สำหรับผุ้มีรายได้สูงกว่า 400,00 เหรียญขึ้นไป) ภายใต้การบริหารงานของนายไบเดน แต่หากมีรายได้น้อยกว่า 400,000 เหรียญ จะได้รับการลดภาษี
· NATO จะหาทางจัดประชุมโดยเร็วกับ "ไบเดน" หากเขาได้รับเลือกเป็นปธน.สหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่และคณะทูต เผยว่า NATO กลังพิจารณาจะจัดประชุมในเดือนมี.ค. ปีหน้า ณ กรุงบรัสเซล และมีความยินดีจะเชิญประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ หากว่านายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่หากนายทรัมป์ชนะ ก็อาจจะมีการนัดประชุมภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021
· รองประธานเฟด ชี้ การระบาดของไวรัสจะส่งผลให้ภาคบริการเอกชนเปราะบาง
· FDA สหรัฐฯ จะหารือเรื่องวัคซีน Covid-19 เกี่ยวกับการเกณฑ์การอนุมัติวัคซีนฉุกเฉินในวันพฤหัสบดีนี้
· แหล่งข่าวเผย บริษัท AstraZeneca จะกลับมาทดสอบวัคซีน Covid-19 อีกครั้งในสัปดาห์นี้ในสหรัฐฯ หลังจากที่ถูกระงับมาตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย. จากการพบผู้ร่วมทดสอบมีอาการข้างเคียง
· หัวหน้าที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ระดับสูงของอังกฤษ ชี้ ไวรัสโคโรนาอาจกลายมาเป็นโรคใหม่เหมือนไข้หวัด และวัคซีนไม่สามารถยุติการระบาดได้
แม้ว่าวัตซีนบางตัวจะก่อให้เกิดความเป็นไปได้และเข้าสู่การทดสอบขั้นสุดท้าย แต่ก็ไม่มีแนวโน้มจะทำลายไวรัสนี้ให้หมดไปได้ ดังนั้น แนวคิดเรื่องดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง เพราะถึงมีวัคซีนที่เห็นผลสูงแต่ก็มีโอกาสเห็นการติดเชื้อนี้ได้อยู่
หนึ่งในคณะกรรมาธิการกำกับดูแลกลยุทธ์ความมั่นคงแห่งชาติของอังกฤษ มองว่า วัคซีนอาจช่วยระงับการระบาดได้ แต่ก็มีแนวโน้มที่โรคติดต่อได้นี้จะกลายเป็นเหมือนโรคทั่วไป
· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเวลานี้สูงทะลุ 41 ล้านรายทั่วโลก และยอดเสียชีวิตสะสมรวม 1.12 ล้านราย ขณะที่สหรัฐฯมียอดติดเชื้อรวมเพิ่มขึ้นแตะ 8.51 ล้านราย และเสียชีวิตรวมกว่า 226,000 รายแล้ว
· สเปนตัดสินใจประกาศเคอร์ฟิวส์ยับยั้งการระบาดของ Covid-19
· “นายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์” ตัวแทนการค้าระดับสูงของสหรัฐฯ แสดงความกังวลรัฐบาลจีนจะขยายอิทธิพลในประเทศบราซิล
· นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 31.15-31.35 บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ตลาดรอดูคือ การดีเบตครั้งสุดท้ายของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในคืนวันพฤหัสบดีที่อาจมีการเปิดเผยถึง นโยบายทางเศรษฐกิจ
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน รายงานการประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทยต่อครม.ที่ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 63 ให้ดีขึ้นเป็น -7.1% จากเดิมที่คาด -7.7% แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย
- นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุ 5 โจทย์ใหญ่ของ ธปท.สำหรับช่วงเวลาต่อจากนี้ ได้แก่
1) แก้วิกฤตหนี้อย่างยั่งยืนให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจผ่านพ้นวิกฤตโควิด 19 และฟื้นตัวได้
2) รักษาเสถียรภาพระบบการเงิน เพื่อให้ทำหน้าที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
3) รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคให้โครงสร้างเศรษฐกิจการเงินไทยสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงภายใต้สถานการณ์โควิด 19 และระยะต่อไปได้ดี
4) สร้างความเชื่อมั่นของสาธารณชน ให้ ธปท. เป็นหนึ่งในองค์กรที่ประชาชนเชื่อมั่นที่สุด
5) พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน ให้ ธปท.เป็นองค์กรที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ และสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทย
- นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รายงาน ครม.ถึงผลประชุมร่วมกับนายชวน หลีกภัยประธานสภาฯ ตัวแทนฝ่ายค้าน ตัวแทนรัฐบาล ตัวแทนจากพรรคการเมือง เรื่องการพิจารณาฯ ประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา เพื่อให้ทุกฝ่ายมีโอกาสอภิปรายแสดงความคิดเห็นและชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน และลดปัญหาข้อขัดแย้ง รวมถึงประเด็นที่ ครม.ควรให้มีการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา โดยขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมรัฐสภาตามมาตรา 165 ซึ่งครม.ได้เห็นชอบกำหนดเปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาในวันที่ 26-27 ต.ค.นี้ โดยเลื่อนการประชุม ครม.ครั้งต่อไปไปเป็นวันที่ 28 ต.ค.63 แทน