ทองทรงตัวจากกังวลไวรัส ชดเชยดอลลาร์แข็งค่า
· ราคาทองคำค่อนข้างทรงตัวบริเวณ 1,900 เหรียญ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ค่อนข้างวิตกกังวลต่อการระบาดของไวรัสโคโรนาในเวลานี้ และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในสัปดาห์หน้าจึงช่วยบดบังปัจจัยลบอย่างค่าเงินดอลลาร์ลงไป
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด -0.1% ที่ระดับ 1,904.60 เหรียญ
· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิดค่อนข้างทรงตัวบริเวณ 1,905.70 เหรียญ
· กองทุนทองคำ SPDR ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม ปัจจุบันถือครองที่ 1,263.8 ตัน
· หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายการตลาดจาก Blue Line Futures กล่าวว่า ราคาทองคำค่อนข้างเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,880 – 1,930 เหรียญ โดยรอผลการเลือกตั้ง ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น แม้ดอลลาร์จะอ่อนคาแต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆกับราคาทองคำมากนัก
· การระบาดของไวรัสโคโรนาในปัจจุบันได้เข้ากดดันความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง จากกลุ่มนักลงทุนที่กังวลต่อยอดติดเชื้อในสหรัฐฯและยุโรป โดยเฉพาะยุโรปที่เริ่มมีการกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มต่างๆ
· หัวหน้าฝ่ายการซื้อขายทองคำจาก BMO กล่าวว่า ภาพรวมราคาทองคำยังเป็นทิศทางขาขึ้น และคาดว่าสหรัฐฯจะมีการการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอีกไม่ช้า และทุกครั้งที่ราคาทองคำอ่อนตัวก็จะเห็นถึงความต้องการและมีการซื้อกลับอย่างต่อเนื่อง
· ราคาซิลเวอร์ปิด -1.4% ที่ระดับ 24.25 เหรียญ ขณะที่ราคาพลาเดียมปิด -1.9% ที่ 2ล346.46 เหรียญ และราคาแพลทินัมปิด -3.5% ที่ 869.83 เหรียญ
· “เพโลซี” มองบวก คาดเห็นข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจได้ก่อนเลือกตั้ง 3 พ.ย. นี้
นางแนนซี เพโลซี โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หวังจะบรรลุข้อตกลงกับทีมบริหารทรัมป์ให้ได้ก่อน 3 พ.ย. นี้ พร้อมระบุว่าประเด็นหลักใหญ่ๆ ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องหาทางแก้ไขความต่างร่วมกัน
“เพโลซี” เผยทำเนียบขาวปฏิเสธลงนามแผนกลยุทธ์ทดสอบหาเชื้อ Covid-19 ของทางเดโมแครต
โดยจะเห็นได้ว่าในเวลานี้เรากำลังรอมาตรการรับมือที่สำคัญจากความกังวลต่างๆในเรื่องการรับมือกับไวรัสโคโรนา แม้ว่านายมนูชินจะเคยกล่าวถึงการยอมรับแผนดังกล่าว แต่ทีมบริหารของทรัมป์ก็ยังปฏิเสธการดำเนินการด้านนี้
· วุฒิสภาสหรัฐฯโหวตผ่านให้นางเอมี โคนีย์ บาร์เร็ต ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดแห่งสหรัฐฯ
· ยอดขายบ้านใหม่สหรัฐฯปรับตัวลงในเดือนก.ย. ท่ามกลางราคาบ้านที่ยังสูงขึ้นต่อเนื่อง
ยอดขาบบ้านใหม่ในสหรัฐฯประจำเดือนก.ย. ปรับลดเกินคาดหลังจากที่เพิ่มขึ้น 4 เดือนต่อเนื่อง โดยล่าสุดลดลง 3.5% ที่ 959,000 ยูนิต และการปรับตัวลงล่าสุดสะท้อนว่าตลาดที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มอ่อนตีใลงต่อในช่วงไตรมาสที่ 4/2020 แม้ว่าตลาดจะมีแรงหนุนบางส่วนขากอัตราดอกเบี้ยจดจำนองที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และอุปสงค์ที่กลับมาเพิ่มขึ้นจากปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนา
· AstraZeneca ระบุว่า วัคซีน Covid-19 ตอบสนองต่อระบบภูมิต้านทานในกลุ่มผู้สูงอายุ
บริษัท AstraZeneca ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Oxford ระบุว่า ความเป็นไปได้ของวัคซีน Covid-19 มีการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันและส่งผลกระทบเชิงลบค่อนข้างต่ำได้ในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่นเดียวกับกลุ่มวัยรุ่น
การประกาศดังกล่าวมีแนวโน้มช่วยสนับสนุนความหวังเกี่ยวกับวัคซีน Covid-19 ที่สามารถพัฒนาได้ก่อนช่วงสิ้นปีนี้
· “ฟาวซี” ชี้ ความหวังเห็นวัคซีนเพิ่มขึ้น-อาจรู้ผลได้ในช่วงต้นเดือนธ.ค.
ดร.แอนโธนี ฟาวซี ที่ปรึกษาเรื่องไวรัสโคโรนาประจำทำเนียบขาว แสดงความหวังเพิ่มขึ้นที่จะเห็นวัคซีน Covid-19 ที่อาจได้รับการอนุมัติได้ภายในสิ้นปีนี้ ท่ามกลางบรรดาผู้ผลิตยาส่วนใหญ่และศูนย์วิจัยต่างๆที่พยายามร่วมมือกันหาทางยุติการระบาดของไวรัสตัวนี้
อย่างไรก็ดี เราจะต้องทราบก่อนว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพหรือไม่ในช่วงสิ้นเดือนพ.ย.โดยประมาณ เพื่อเริ่มเข้าสู่กระบวนการต่อไปในเดือนธ.ค.
WHO เผย มีบริษัทที่ถูกเลือกเข้าทดสอบวัคซีนนับสิบรายและบางแห่งก้าวเข้าสู่กระบวนการทดลองในขั้นสุดท้ายก่อนส่งให้พิจารณาขออนุมัติอย่างเป็นทางการ ซึ่งผลลัพธ์ของการทดสอบก็เป็นที่สนใจแทบจะทั่วโลก
· Reuters ชี้ สหรัฐฯ-ยุโรปอาจเผชิญระบาดหนักทั่วทุกพื้นที่ในช่วงฤดูหนาวนี้
รายงานจากสำนักข่าว Reuters ระบุว่า สหรัฐฯ, รัสเซีย, ฝรั่งเศส และหลายๆประเทศกำลังเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ ที่ส่งผลให้เกิดการกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มในหลายๆพื้นที่เพื่อจำกัดการระบาดรอบใหม่ และทิศทางที่ไม่สดใสได้เข้ากดดันตลาดการเงินทั่วโลก เนื่องจากมีคาดการณ์ถึงการกดดันแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งหนักรายวันมากที่สุดในรอบ 4 สัปดาห์ หลังยอดติดเชื้อในสหรัฐฯรายวันนั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ขณะที่การเจรจากระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังประสบภาวะ Deadlock ในการช่วยเหลือเศรษฐกิจภายในประเทศ
ด้านเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ กล่าวเตือนให้ระมัดระวังต่อข่าว “วัคซีน” เนื่องจากมองว่า ยังไม่มีวัคซีนใดที่พร้อมใช้ในเวลานี้ จนกว่าจะถึงปีหน้า
· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเวลานี้ทั่วโลกล่าสุดสะสมที่ 43.76 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตแตะ 1.16 ล้านราย ทางด้านสหรัฐฯยอดติดเชื้อสะสมโดยรวมในประเทศใกล้ทะลุ 9 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมสูงกว่า 231,000 ราย
· ผู้เชี่ยวชาญ เตือน อาจเกิดการระบาดหนักขึ้น หลังอัตราเฉลี่ยผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายวันในสหรัฐฯทำ All-Time High กดดันระบบการักษาพยาบาลท้องถิ่น รวมทั้งการบังคับใช้เคอร์ฟิวส์ หรือมาตรการที่เข้มงวดต่างในบางรัฐของสหรัฐฯ
ขณะที่การลดงานเทศกาลที่จะเกิดเช่น ฮาโลวีน และ Thanksgiving ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม ท่ามกลางสหรัฐฯที่เข้าสู่จุดพีครายวันของ Third Wave ที่ยังไม่มีสัญญาณจะลดลง
การวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins เผย ตลอดช่วง 7 วันที่ผ่านมาสหรัฐฯมีรายงานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 68,767 รายในทุกวัน และเป็นค่าเฉลี่ยราย 7 วันที่ทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 22% เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ก่อน
· แหล่งข่าวเผย ฝรั่งเศสทำการปรับทบทวนทางเลือกของกรอบในการใช้มาตรการเข้มงวดยับยั้ง Covid-19
· นายกฯเยอรมนี เล็ง Lockdown บางส่วนเพื่อจำกัดให้ยอดติดเชื้อชะลอตัวลง
· ประชาชนชาวอิตาลีเดินขบวนประท้วงรัฐบาลต้านใช้มาตรการคุมเข้ม Covid-19
· ประชาชนสหรัฐฯ ส่งบัตรลงคะแนนผ่านไปรษณีย์แล้วกว่า 60 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์การเลือกตั้งในสหรัฐฯ
· อินเดียจะทำการลงนามข้อตกลงทางการทหารเรื่องการแบ่งปันข้อมูลดาวเทียมกับสหรัฐฯ โดยที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเรื่องการยกระดับความมั่นคงที่มีเป้าหมายสกัดการขยายอิทธิพลภายในภูมิภาคของจีน
· จีนตัดสินใจประกาศคว่ำบาตรบริษัทสหรัฐฯ ต่อกรณีการขายอาวุธให้แก่ไต้หวัน
· จีนให้เวลา 6 สื่อสหรัฐฯรายงานการดำเนินการในประเทศภายใน 1 สัปดาห์
รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีนมีคำสั่งให้ 6 บริษัทสื่อของสหรัฐฯทำรายงานเกี่ยวกับการจัดการภายในประเทศส่งกลับมายังจีนภายใน 7 วัน หลังสหรัฐฯมีการแต่งตั้งให้บริษัทสื่อจีนกว่า 6 แห่งเป็นอาวุธสำหรับภารกิจต่างประเทศ
ขณะที่สำนักข่าวสัญชาติสหรัฐฯ 6 แห่งที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ คือ
- American Broadcasting Corporation (ABC)
- The Los Angeles Times
- Newsweek
- Feature Story Times
- The Bureau of National Affairs
- Minnesota Public Radio
· สหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ โดยพุ่งเป้าไปยังภาคอุตสากรรม “น้ำมัน”
· รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิหร่าน กร้าว อุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่านจะไม่ยอมต่อแรงกดดันของสหรัฐฯ
· รัฐบาลเยอรมนีเตือนกษัตริย์ไทยอย่าใช้อำนาจสั่งการทางการเมืองจากประเทศเยอรมนี
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีกำลังเฝ้าติดตามพระราชจริยวัตรของกษัตริย์ไทยที่มาพำนักในเมือง Bavaria ประเทศเยอรมนีเป็นเวลานาน ท่ามกลางเหตุประท้วงของกลุ่มคนไม่เห็นชอบในเรื่องนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังระบุว่า ทางการเยอรมนีมีกำลังเฝ้าติดตามเรื่องนี้ และหากพบว่ามีสิ่งที่ผิดต่อหลักกฎหมายก็จะมีผลต่อการดำเนินการในทันที
· กดดันผู้นำประเทศเบราลุสต่อ! แรงงานภาคอุตสาหกรรมและนักเรียนนักศึกษา รวมถึงกลุ่มผู้รับเบี้ยบำนาญออกมาเดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้ผู้นำลาออก ขณะที่มีตำรวจจับกุมแนวร่วมได้ไม่น้อยกว่า 235 ราย
· นักบริหารการเงิน คาดเงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.15-31.50 บาท/ดอลลาร์ พร้อมมองว่านักลงทุนจะระมัดระวังในการถือครองเงินบาทในช่วงปัจจัยทางการเมืองในประเทศมีความไม่แน่นอนสูง ขณะเดียวกันนักลงทุนในตลาดเงินจะหลีกเลี่ยงที่จะเปิดสถานะการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 3 พ.ย.63 ขณะที่ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับลดลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งในยุโรปและสหรัฐฯ
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ประชาชนยังให้ความสนใจโครงการ "คนละครึ่ง" ที่ให้ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป รับสิทธิซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยที่รัฐบาลจะช่วยจ่ายสมทบให้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งมีรายงานว่าช่วง 3 วันแรกของโครงการ (23-25 ต.ค.) มีคนจับจ่ายและรัฐช่วยสมทบแล้วไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อวัน
· อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจการเดินทาง "ท่องเที่ยว" ของคนไทยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 77.3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลสำรวจในช่วงเดียวกันของปีก่อน
แต่การท่องเที่ยวยังมีความไม่แน่นอนสูง เมื่อกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มองว่าหากมีการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศจะมีผลต่อการปรับแผนการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมถึงยังมีประเด็นการเมืองที่ต้องติดตาม ขณะที่ในส่วนของการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังมีความกังวลในเรื่องภาวะเศรษฐกิจส่งผลทำให้จำนวนความถี่ในการเดินทางท่องเที่ยวเฉลี่ยลดลง รวมถึงแผนการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อทริปปรับลดลงประมาณ 5.5% เมื่อเทียบกับผลสำรวจในช่วงเดียวกันของปีก่อน