บรรดานักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์หลายราย มี 2 ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนทองคำ คือ
1) การที่ “นายไบเดน” ชนะและได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
แม้ว่าจะมีการแบ่งแยกการครองสภากันชัดเจน และอาจส่งผลต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- รีพับลิกัน ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา
- เดโมแครต ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
2) ความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่ช่วยหนุนความต้องการทองคำในฐานะ Safe-Haven
ทั้ง 2 ปัจจัยข้างต้นจะเป็น “ปัจจัยที่กดดันค่าเงินดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง” โดยที่ดอลลาร์ยังคงทรงตัวในระดับต่ำสุดรอบ 2 เดือน
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์จะเป็นส่วนหนึ่งของตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในอนาคตไม่ว่าจะ “ปรับขึ้น” หรือ “ลดลง”
กลุ่มนักวิเคราะห์หลายๆราย คาดการณ์ว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยที่เข้ากดดันค่าเงินดอลลาร์ และสนับสนุนราคาทองคำ ท่ามกลางยอดติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯที่ปรับขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยยอดติดเชื้อรวมของสหรัฐฯพุ่งทะลุ 10 ล้านราย ทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ต่างๆเริ่มกังวลถึงสถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายลงไป
นักวิเคราะห์จาก Saxo Bank คาดว่า ภาวการณ์ตกลงกันไม่ได้ของสภาคองเกรส จะส่งผลให้ตลาดเริ่มให้ความสนใจไปยัง “เฟด” ที่จะกลายมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งการมีมาตรการใหม่ใดๆจากเฟดจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ต่อ และมีโอกาสเห็นรคาทองคำแตะ 2,000 เหรียญภายในสิ้นปี
ไม่เพียงแต่กลุ่มนักวิเคราะห์ที่มองเห็นปัจจัยที่แข็งแกร่งที่ช่วยหนุนทองคำแล้ว ขณะที่ภาพทางเทคนิคก็ยังเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำยังปรับขึ้นใกล้สูงสุดรอบ 6 สัปดาห์
รายงานประจำสัปดาห์ของกลุ่มนักวิเคราะห์จาก Murebeeld & Associates ระบุว่า การปราศจากภาวะ Blue Wave หลังเลือกตั้งในครั้งนี้ ก็ดูจะยิ่งหนุนว่าทองคำมีโอกาสที่จะปรับขึ้นต่อได้ในช่วงเข้าสู่ปีใหม่นี้ ขณะที่การเกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้ตลาดหันกลับไปให้ความสนใจและความเป็นไปได้จากเฟด และคาดว่าประเด็นนี้จะยิ่งกดดันเฟดให้มีการเพิ่มทางเลือกสำหรับ “การดำเนินนโยบายทางการเงิน” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้
อย่างไรก็ดี คาดว่าราคาทองคำช่วงสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ระหว่าง “1,960 – 1,980 เหรียญ”
ที่มา: KITCO