· ดอลลาร์อ่อนค่าลงทำต่ำสุดรอบ 2 เดือนหลังนายไบเดนได้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปทำระดับต่ำสุดรอบ 10 สัปดาห์ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับการมาของนายโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ จึงทำให้เกิดการเข้าซื้อสกุลเงินคู่ค้ากับทางสหรัฐฯตามคาด ที่อาจสามารถดำเนินนโยบายช่วยสนับสนุนการค้าทั่วโลกและช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงินได้ง่ายมากขึ้น
ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าอย่างมากทำต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนก.ย. ขณะที่ค่าเงินสกุลหลักอื่นๆเมื่อเทียบดอลลาร์ พบว่า
- ค่าเงินหยวนแข็งค่ามากสุดรอบ 28 เดือน และแตะ 6.5826 หยวน/ดอลลาร์ โดยได้รับอานิสงส์จากข้อมูลการค้าของจีนที่แข็งแกร่งช่วงปลายสัปดาห์ด้วย
- ค่าเงินนิวซีแลนด์ดอลลาร์ทำแข็งค่ามากสุดรอบ 19 เดือน
- ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์ทำแข็งค่ามากสุดรอบ 7 สัปดาห์
- ค่าเงินวอนทำแข็งค่ามากสุดรอบ 21 เดือน
- ค่าเงินปอนด์ทำแข็งค่ามากสุดรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบดอลลาร์
- ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 2% ที่ระดับ 1.1895/ยูโร
นักวิเคราะห์ค่าเงินจาก Commonwealth Bank of Australia ยังคงมีท่าทีระมัดระวังต่อความผันผวนที่อยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะทราบผลเลือกตั้งแล้วก็ตาม
ค่าเงินลีราของตุรกีในตลาดเกิดใหม่แข็งค่ามากกว่า 2% จากถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลาง และการแต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงการคลังคนใหม่ของตุรกีในช่วงปลายสัปดาห์ที่แลทั้งนี้ ค่าเงินลีราเคยดิ่งลงกว่า 30% ทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้จากการระบาดของไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดการสำรองค่าเงินลดต่ำลงอย่างมาก และเงินเฟ้อเพิ่มมากกว่า 2 เท่าตัว
· การแยกกันครองสภาคองเกรส ดูจะส่งผลให้แผนมาตรการต่างๆของ "ไบเดน" เป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น
นายโจ ไบเดน และทีมที่ปรึกษาของเขากำลังร่วมมือกันดำเนินการตามแผนเพื่อคลายวิกฤต Covid-19 ที่กำลังเผชิญในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องแรกในฐานะการดำเนินการภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังจากที่ได้รับชัยชนะเพียงพอในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกในรอบ 28 ปีที่สูญเสียอำนาจการดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 ซึ่งเขากำลังเดินหน้าฟ้องร้องเพื่อต่อสู้กับการกู้คะแนนของผลเลือกตั้งที่ประกาศออกมา
อย่างไรก็ดี บรรดาสมาชิกพรรครีพับลิกันระดับสูงในสภาสูงก็ยังไม่ได้รับผลกใดๆจากชัยชนะของนายไบเดนในครั้งนี้ และรอการเข้าพิธีสาบานตนของเขาในวันที่ 20 ม.ค. ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วนยังคงให้ความสนใจกับแนวทางการดำเนินการของประธานาธิบดีคนใหม่ หลังจากที่นายไบเดนส่งสัญญาณถึง "ความเป็นหนึ่งเดียว" และ "การประนีประนอม" ในการปราศรับถึงการได้รับตำแหน่งของเขา เนื่องจากมองว่า "นี่คือเวลาแห่งการฟื้นฟูประเทศ"
· คาด "ชัยชนะของไบเดน" จะเปิดกว้างมากขึ้นกับการฟื้นความสัมพันธ์กับจีน
สื่อจีน รายงานว่า ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนมีโอกาสคลี่คลายลงได้จากการมาของ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ เนื่องด้วยชัยชนะของเขา อาจมีการฟื้นความสัมพันธ์ครั้งใหญ่กับทางการจีน ซึ่งอาจเริ่มที่ประเด็นทางการค้าก่อน
ขณะที่ทีมบริหารนายทรัมป์ ได้สร้างความตึงเครียดระหว่าง "สหรัฐฯ-จีน" ไว้อย่างหนัก โดยเฉพาะหลังจากที่ปรับกลยุทธ์สร้างแรงกดดันกับจีน ที่จำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในการดำเนินนโยบายของทั้งคู่
ดังนั้น จึงเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ "ภาวะฟองสบู่" ที่เกิดจากตึงเครียดทั้งคู่จะคลี่คลายลงไป และหลายๆฝ่ายก็ให้ความสนใจไปยังความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่อาจผ่อนคลายมากขึ้น
· ไบเดนพร้อมเผยมาตรการรับมือ Covid-19 ด้าน "ทรัมป์" เผยแผนค้านผลเลือกตั้ง
โดยนายไบเดน จะทำการกล่าวปราศรัยถึงประเด็นการจัดการกับ Covid-19 ในเมือง Wilmington รัฐ Delaware
ขณะที่นายทรัมป์ ยังคงเตรียมฟ้องผลคะแนนเลือกตั้งโดยปราศจากหลักฐาน และเขาไม่มีกำหนดการใดๆในการกล่าว ณ ที่สาธารณะ แต่หลายๆฝ่ายเชื่อว่า เขากำลังทำแผนนำเสนอต่างๆ เพื่อแย้งผลคะแนนที่เกิดขึ้น
· รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ชี้ ไบเดนจะไม่มุ่งเน้นไปยังค่าใช้จ่ายด้านความมั่นคงของ NATO มากเท่าทรัมป์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปภายใต้การนำของนายไบเดน เพียงแต่อาจจะเห็นสถานการณ์ที่ดีมากขึ้น
· กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนผ่อนคลายขึ้นหลังไบเดนชนะ แต่ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นทั้งหมด
ผู้อำนวยการฝ่าย Consortium of Internet and Society จาก Communication University ภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีน กล่าวว่า การมาของนายไบเดน ดูจะมีท่าทีตึงเครียดน้อยกว่าทีมของนายทรัมป์ และสามารถจัดการกับโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น "จึงอาจช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีจีนฟื้นตัวได้ "
อย่างน้อยที่สุด เชื่อว่า สหรัฐฯจะสนับสนุนการกลับมาเปิดกว้างและการกลับมาพิจารณาด้านการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมถึงเรื่องนวัติกรรมด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาทุกอย่างจะยุติลงได้ เพียงแต่สหรัฐฯและจีนน่าจะสามารถแข่งขันด้วยความสามารถในด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริงในอีก 10 ปีข้างหน้า
· สหรัฐฯ-จีน ยังคงสถานะการเป็น "คู่แข่งกัน"
บรรดานักวิเคราะห์หลายราย ชี้ว่า ทีมบริหารของนายไบเดนอาจร่วมมือกับชาติพันธมิตรของสหรัฐฯได้ดีกว่านายทรัมป์ และอาจใช้กลยุทธ์ความร่วมมือกันในการต่อต้านจีน และถึงแม้จะเห็นได้ว่าในการกล่าวปราศรัยแรกหลังได้รับเลือกของนายไบเดนที่มุ่งเน้นไปยังการจัดการเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนา และไม่ได้มีการกล่าวถึงจีน
ก็ไม่ได้หมายความว่าความตึงเครียดของทั้งสองประเทศในเวลานี้จะลดลงไป เนื่องจากทีมนโยบายการต่างประเทศของเขาก็ยังคงมีมุมมมองว่า "ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ คือ ความมั่นคงของประเทศ" ด้วยเช่นกัน
· ตึงเครียด "สหรัฐฯ-จีน" จะยังไม่จบภายใต้การบริหารงานของนายไบเดน
ประธานกระทรวงการค้าสหรัฐฯในประเทศจีน กล่าวว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนถูกคาดว่าจะผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อนายไบเดนได้รับชัยชนะ แต่ก็ยังสื่อถึงว่าการที่สหรัฐฯจะยังมีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความสัมพันธ์ทางการค้าที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไป แม้เปลี่ยนทีมบริหาร และนี่จะเป็นแรงกดดันต่อทั้งสองประเทศ เนื่องจากท่าทีหนักแน่นทางการเมืองภายในประเทศสหรัฐฯก็ดูจะไม่ลดน้อยลงไปเช่นกัน
· อดีตนักการทูตสิงคโปร์ แนะ สหรัฐฯไม่ควรบังคับประเทศอื่นๆในการเลือกข้างระหว่าง "สหรัฐฯ-จีน"
นาย Kishore Mahbubani อดีตนักการทูตสิงคโปร์ ระบุว่า หลายๆประเทศโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังต้องการมีความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับสหรัฐฯ *ดังนั้น สหรัฐฯไม่ควรบังคับให้พวกเขาทำการเลือกข้างเพื่อกดดันจีน* เนื่องจากจะเป็นเรื่องยากของหลายๆประเทศในการวางตัวไม่ว่าจะเลือกข้างใด ข้างหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น การที่สหรัฐฯเรียกร้องให้นานาประเทศแบนเทคโนโลยีจากบริษัท Huawei โดยเฉพาะโครงข่าย 5จี เนื่องจากอ้างถึงภัยคุกคามทางความมั่นคง
หรือแม้แต่การที่นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจีน ที่ได้เดินทางมาเยือนประเทศแถบเอเชีย และกล่าวถ้อยแถลงถึงการที่จะสนับสนุนให้เป็นชาติพันธมิตรกับสหรัฐฯเพื่อต่อต้านจีน

ในหลายๆปีที่ผ่านมาสหรัฐฯมีความสำคัญอย่างมากกับภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคงและเศรษฐกิจ แต่ตั้งแต่ที่นายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งก็ได้แตกหักข้อตกลงสนธิสัญญาการค้าแปซิฟิก (TPP) ที่เป็นการทำข้อตกลงร่วมกับหลายๆประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียลงใต้
อย่างไรก็ดี หากนายไบเดนตัดสินใจด้วยตัวเองและเป็นอิสระ ก็อาจส่งผลให้เขาต้องการที่จะกลับมาเข้าร่วมข้อตกลง TPP อีกครั้ง แต่เขาก็จะคำนึงถึงผลโยชน์ภายในประเทศสหรัฐฯด้วยเช่นกัน ดังนั้น สภาวะทางการเมืองอาจเป็นปัญหาต่อการกลับมาทำข้อตกลงการค้าเสรีอีกครั้ง เนื่องจากมองว่ามันกลายเป็นปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรง
· อังกฤษคาดข้อตกลงการค้า "Brexit" กับอียูสามารถประนีประนอมได้ และเปิดกว้างต่อประเด็นการประมงระหว่างสองฝ่าย
· ส่งออกเยอรมนีเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนก.ย. หนุนไตรมาสที่ 4 เพื่อเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจหดตัวเพิ่มกว่าเท่าตัว
ยอดส่งออกเยอรมนีประจำเดือนก.ย.ปรับตัวสูงขึ้น 2.3% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าที่คาด ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 0.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 5.8% ในเดือนก่อนหน้า และการเกินดุลการค้าอยู่ที่ 17.8 พันล้านยูโร ท่ามกลางการค้ากับต่างประเทศที่หนุนให้จีดีพีเยอรมนีไตรมาสที่ 4 เพื่อเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจหดตัวเพิ่มกว่าเท่าตัว
ด้านนักเศรษฐศาสตร์คาดว่ายอดส่งออกจะเพิ่มนขึ้น 2.0% และยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 2.1% ขณะที่
คาดการณ์ว่ายอดการเกินดุลการค้าจะอยู่ที่ 15.8 พันล้านยูโร
นักเศรษฐศาสตร์ ประจำ ING ระบุว่า การส่งออก (และการผลิตในภาคอุตสาหกรรม) ยังคงสามารถป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจตกสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งที่สองในไตรมาสสุดท้ายของปี ขณะที่ชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน อาจส่งผลให้การคุกคามของภาษีศุลกากรของสหรัฐฯต่อรถจักรยายนต์ของยุโรปน่าจะหายไป
· เศรษฐกิจฝรั่งเศสลดลง 12% ท่ามกลางมาตรการ Lockdown ครั้งใหม่
เศรษฐกิจของฝรั่งเศสในเดือนนี้ต่ำกว่าปกติที่ระดับ 12% หลังจากประเทศเข้าสู่การ Lockdown เป็นครั้งที่สองในปีนี้ ซึ่งแย่กว่าการลดลง 4% ในเดือนต.ค. แต่ดีกว่าการลดลง 31% ในเดือนเม.ย.ในช่วงที่มีการปิดกั้นที่เข้มงวดที่สุดครั้งหนึ่งในยุโรป
ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดให้มีการ Lockdown ครั้งใหม่ในวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา แม้ว่าข้อจำกัดจะเบาลงกว่าครั้งแรกเพื่อจำกัด ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของยูโรโซนก็ตาม
· น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นแตะ 40 เหรียญ หลัง "ไบเดนชนะ" หนุนความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้มากกว่า 2% ในวันนี้ โดยมันดิบ Brent พุ่งขึ้นเหนือ 40 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ นายโจ ไบเดน คว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงได้ช่วยหนุนความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงให้เพิ่มมากขึ้น และชดเชยกับความวิตกกังวลเรื่องผลกระทบต่ออุปสงค์จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาที่ย่ำแย่ลง
น้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 1.06 เหรียญ หรือ 2.7% อยู่ที่ 40.51 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 38.21 เหรียญ/บาร์เรลเพิ่มขึ้น 1.07 เหรียญ หรือ 2.9%
ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ลดลงไป 4% ในคืนวันศุกร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นพร้อมกับตลาดการเงินอื่นๆ หลังจากที่นายไบเดนชนะเลือกตั้ง ในขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงได้หนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในหน่วยดอลลาร์ไม่ได้สูงมากนัก จึงทำให้นักลงทุนเข้าถือครองได้มากขึ้นเมื่อเทียบดอลลาร์กับสกุลเงินอื่นๆ
· นายไบเดน ในฐานะประธานาธิบดีจะส่งผลต่อภาคพลังงานอย่างไร?
ข้อมูลจากหน่วยงานหลักต่างๆ ระบุว่า ชัยชนะของนายไบเดน ดูจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานบางอย่างได้ภายใต้การบริหารของเขา อาทิ
อุปทานน้ำมันกับนานาประเทศ
นายไบเดนมีความสนใจกับการเจรจาหลากหลายวิธีที่คล้ายคลึงกับแนวทางของพรรคเดโมแครตก่อนหน้า จึงอาจเห็นชาติสมาชิกบางรายของ OPEC ไม่ว่าจะเป็นอิหร่านหรือเวเนซูเอเลา ก็อาจหลุดพ้นจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และกลับมาเริ่มต้นเพิ่มการผลิตน้ำมันได้อีกครั้ง หากสามารถตกลงเงื่อนไขกันได้อย่างเหมาะสม
แนวทางกับ OPEC
นายไบเดน ปราศจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้อพระวงศ์ของซาอุดิอาระเบีย อย่าง เจ้าชายโมฮัมเม็ด เบ็น ซัลมาน เหมือนที่นายทรัมป์เป็น ดังนั้น นายไบเดนจึงอาจไม่สามารถเข้าถึงกลุ่ม OPEC ได้อย่างใกล้ชิด แต่การที่นายไบเดนมีแนวโน้มจะใช้วิธีทางการเจรจาเป็นช่องทางก็อาจส่งผลต่อกลุ่ม OPEC ได้มากกว่าการทวิตเตอร์ของนายทรัมป์
การเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานสีเขียว?
ทีมบริหารของนายไบเดน มีแนวโน้มจะทำการพิจารณาข้อตกลงด้านภูมิอากาศกับทางฝรั่งเศส ที่เป็นข้อตกลงการเจรจาระหว่างประเทศช่วงที่ทีมบริหารของนายโอบามาพยายามที่จะต่อสู้กับสภาวะโลกร้อน
แต่นายทรัมป์ก็ได้ถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว เนื่องจากมองว่าอาจส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ดังนั้น นายไบเดน จึงน่าจะนำข้อตกลงดังกล่าวกลับมาพิจารณาเรื่องการใช้พลังงานสีเขียวให้กลับมาได้ภายในปี 2050 ประกอบด้วยการลดการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมให้อยู่ระดับศูนย์ภายในปี 2035 ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่พรรคเดโมแครตอาจทำได้ยากเนื่องจากปราศจากเสียงข้างมากในวุฒิสภา
นายไบเดนมองว่าการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ นำมาซึ่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลก และการใช้พลังงานจากฟอสซิลก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสให้สหรัฐฯสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอ จึงทำให้เขากลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสีเขียว
การขุดเจาะน้ำมันภายในประเทศ
ยุคของนายทรัมป์มีการผลักดันการผลิตน้ำมันและก๊าซภายในประเทศ ขณะที่นายไบเดนให้คำมั่นที่จะห้ามการออกใบอนุญาตขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ของรัฐบาลและน่านน้ำบางส่วนเพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อนเวลานี้
ทั้งนี้ สหรัฐฯมีการผลิตน้ำมันเกือบ 3 ล้านบาร์เรล/วันในเขตพื้นที่ของรัฐ และน่านน้ำในช่วงปี 2019 รวมถึงการผลิตก๊าซธรรมชาติกว่า 1.32 หมื่นล้านคิวบิก/วัน
ยอดรวมทั้งหมดคิดเป็นเศษหนึ่งส่สวนสี่ของกำลังการผลิตน้ำมันภายในประเทศ และมากกว่า 8 เท่าของผลรวมการผลิตแก๊ซในสหรัฐฯ จึงนำไปสู่การที่รัฐบาลจะออกใบอนุญาตฉบับใหม่เพื่อจำกัดแนวโน้มให้ลดลงต่ำกว่าศูนย์เป็นเวลาหลายปี