• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563

    18 พฤศจิกายน 2563 | SET News

·         หุ้นทั่วโลกลดลง จากยอดค้าปลีกสหรัฐฯกดดันความหวังวัคซีน

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง หลังข้อมูลภาคค้าปลีกของสหรัฐฯที่อ่อนแอทำให้เกิดความกังวลว่ากรณีโคโรนาไวรัสที่เพิ่มขึ้นอาจยับยั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง จึงกดดันความหวังเกี่ยวกับมุมมองเชิงบวกของวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา

 

ดัชนี S&P500 futures ลดลง 0.4% ขณะที่ดัชนี  Stoxx 50 futures ลดลง 0.3%



·         หุ้นญี่ปุ่นปิดลดลง จากยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่น โดยดัชนี Nikkei ร่วงลง 1.1% ที่ระดับ 25,728.14 จุด ซึ่งเป็นระดับรายวันมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งร่วงลงจากระดับสูงสุดในรอบกว่า 29 ปี ที่เพิ่มขึ้นไปได้ในช่วงก่อนหน้านี้ ด้านดัชนี Topix ลดลง 0.81% ที่ระดับ 1,720.65 จุด

 

โดยภาพรวมเดือนนี้ดัชนีเพิ่มขึ้นเกือบ 12% ปิดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1991 เมื่อวานนี้

 

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.3%

ได้รับแรงหนุนจากการจัดการกับการแพร่ระบาดที่ดีขึ้นในหลายภูมิภาคและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนอย่างต่อเนื่อง

 

ดัชนี Shanghai ปิดเพิ่มขึ้น ปิด +0.22% ที่ระดับ 3,347.30  ภายหลังจากที่ทางการจีนได้เข้ามาใช้นโยบายครั้งใหม่เพื่อหนุนเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ด้านดัชนี  blue-chip CSI300 ปิด -0.06%





·         หุ้นยุโรปเคลื่อนไหวเบาบาง ท่ามกลางการปรับตัวขึ้นของตลาดทั่วโลกหลังจากข่าวมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับวัคซีนโคโรนาไวรัส  โดยดัชนี Stoxx600 ลดลง 0.2% ด้านหุ้นอุตสาหกรรมลดลง 0.6% ขณะที่หุ้นค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2%

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวประชาชาติธุรกิจ

-ตามคาด กนง.คงดอกเบี้ย 0.5% เกาะติดเงินบาทแข็งค่า

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5% ต่อปี

แม้ว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีกว่าคาดแต่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าและยังต้องการแรงสนับสนุนจากดอเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และยังการฟื้นตัวยังมีความเปราะบางและมีความไม่แน่นอนสูงจึงเห็นควรให้รักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินที่มีจำกัดเพื่อใช้ในจังหวะที่เหมาะสมและประเกิดประสิทธิผลสูงสุด

 

-ที่ประชุม ศบค. มีมติเห็นชอบขยาย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ออกไปอีก 45 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 จนถึง 15 มกราคม 2564 

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค.แถลงผลการประชุม ศบค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรรีว่ากลาโหมเป็นประธาน ว่า ได้กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการบังคับใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งจะสิ้นสุดการประกาศบังคับใช้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ออกไปอีก 45 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 จนถึง 15 มกราคม 2564

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

ตลาดหลักทรัพย์ปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,349.25 จุด ลดลง 0.56 จุด (-0.04%) มูลค่าการซื้อขายราว 34,625.86 ล้านบาท

 

การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยทำระดับสูงสุดที่ 1,356.68 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,341.46 จุด



ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการภาคเอกชน ห่วงสถานการณ์ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 30 บาทกว่าต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นถึง 8.20 % (ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-16 พ.ย.) สูงเป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบในประเทศภูมิภาคส่งผลให้ขีดความสามารถการแข่งขันส่งออกของไทยลดลงอย่างมาก เนื่องจากคู่แข่งสำคัญทางการค้าของไทย เช่น เวียดนาม แข็งค่าเพียง 1.66% เท่านั้น ทำให้สินค้าไทยแพงกว่าประเทศอื่นทันที จึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแลสถานการณ์ค่าเงินไม่ให้แข็งค่าเกินกว่าภูมิภาค ซึ่งภาคเอกชน ต้อง

การเฉลี่ยอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ



รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ธปท. หน่วยงานด้านตลาดทุน สมาคมธนาคารไทย และกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวทฟันด์) อยู่ระหว่างเร่งหารือการจัดตั้งโกดังเก็บหนี้(แวร์เฮ้าส์ซิ่ง) ว่าแนวทางจะเป็นอย่างไร ซึ่งเบื้องต้นมีอยู่หลากหลายแนวทาง แต่สิ่งสำคัญในตัวแวร์เฮ้าส์ซิ่ง คือต้องมีแนวทางการค้ำประกัน และทำอย่างไรให้ขายสินทรัพย์ลูกหนี้ออกไปในราคาที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ คาดจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้



ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน.วางแผนจะออกพันธบัตร หรือบอนด์ออมทรัพย์ในปีงบประมาณ 64 ประมาณ 100,000 ล้านบาท เบื้องต้นจะออกในรอบแรก 50,000 ล้านบาท หลังปีใหม่เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และจากนั้นจะทยอยออกส่วนที่เหลือตามความต้องการการใช้เงินในปีหน้า แต่ไม่เกิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งสบน. ยืนยันจะพิจารณาให้เกิดความเหมาะสมระหว่างการก่อหนี้กับความต้องการใช้เงินตามความเป็นจริง



โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หากเศรษฐกิจฟื้นตัวเช่นนี้ มั่นใจว่ายอดผลิตรถยนต์ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่คาดไว้ 1.4 ล้านคัน โดยเฉพาะปลายปีนี้จะมีการจัดงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2020 ในวันที่ 2-13ธ.ค. ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปี



-ม็อบราษฎรนัด 18 พ.ย. ระดมพลใหญ่แยกราชประสงค์ ขู่ฟางเส้นสุดท้ายตีตกร่างรัฐธรรมนูญ ยันไม่ประนีประนอม



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com