• การเป็นประธานาธิบดีของ “ไบเดน” อาจเป็นชัยชนะของนักลงทุนเอเชีย

    19 พฤศจิกายน 2563 | SET News

นายโจ ไบเดน ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯที่สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันได้ และดูจะช่วยหนุนกลุ่มนักลงทุนในสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดส่วนใหญ่ค่อนข้างขานรับในเชิงบวกตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา

“บรรดานักลงทุนในเอเชีย” ก็อาจได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากชัยชนะครั้งนี้ด้วย จากการเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบาย เช่นเดียวกับการตอบรับของทั่วโลกและเป็นข่าวดีของตลาดต่างๆในภูมิภาคด้วย นำโดย ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่น ขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่มีการประกาศชัยชนะในสัปดาห์ที่แล้

ความเชื่อมั่นในตลาดเป็นแบบ “Risk-On” ควบคู่กับนักลงทุนที่ลดการถือครอง Safe-Haven จากมุมมองเชิงบวกครั้งใหม่

หัวหน้าฝ่ายการลงทุนจาก CNBC กล่าวว่า ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของนายไบเดน vs นายทรัมป์

- การดำเนินนโยบายกับต่างประเทศ

- การดำเนินนโยบายการเมือง


มุมมองนักวิเคราะห์ต่อชัยชนะ ไบเดน” ใน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้

1. การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่าง “สหรัฐฯ-จีน”

- ทีมบริหารไบเดน จะกดดันจีน

ด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

- จีนจะเผชิญแรงกดดันที่น้อยกว่า

- สหรัฐฯอาจยกเลิกนโยบายภาษี และ “ปรับเปลี่ยน” เป็นการร่วมมือกันอย่างเหมาะสมมากขึ้น

ดังนั้น ไม่เพียงแต่ “กลุ่มผู้นำด้านการส่งออก” ของสหรัฐฯและจีนจะได้รับประโยชน์ แต่ ”ประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย” ก็จะไม่เผชิญกับการถูกบังคับให้เลือกข้างนานไปกว่านี้

นักวิเคราะห์ฝ่ายการซื้อขายจาก IG Markets กล่าวว่า การฟื้นความสัมพันธ์ของจีนจะเอื้อประโยชน์แก่ตลาดต่างๆของทั้ง 2 ประเทศ และหากนายไบเดน สามารถผ่อนคลายการดำเนินนโยบายการค้าโลกได้ เช่น

* การยกเลิกการขึ้นภาษีการค้า

* อนุญาตให้ประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ สามารถทำข้อตกลงกับสหรัฐฯได้โดยมีข้อจำกัดที่น้อยลง

ก็จะส่งผลต่อหภาคอุตสาหกรรมในจีน และเอเชียตะวันออกด้วย


2. สินค้าสำหรับผู้บริโภค, อสังหาริมทรัพย์, พลังงาน

หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตตั้งแต่ระดับกลาง - สูง อาทิ สินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องนุ่งห่ม และรถยนต์ เป็นต้น โดยมีแนวโน้ม “จะปรับขึ้นได้อย่างมาก” จากการดำเนินนโยบายที่เปลี่ยนไป (หลังจากที่การส่งออกในภาคอุตสาหกรรมชั้นนำประสบภาวะยากลำบาก หลังได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ

ผู้อำนวยการฝ่ายการวิเคราะห์ตลาดหุ้นจาก Morningstar กล่าวว่า การลงทุนในกลุ่มวัสดุโดยตรงจะเป็นผลจากการลดภาษีของสหรัฐฯ

- ตลาดหุ้นเอเชียอาจปรับขึ้นราว 7%

- ภาคธุรกิจในกลุ่มสินค้าผู้บริโภคมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นด้วย

- กลุ่มพลังงานดูจะได้รับโอกาสเชิงบวกเป็นพิเศษ

- กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็จะได้รับผลดีด้วย เช่น Sun Hung Kai ในฮ่องกง รวมไปถึงหุ้น CapitalLand Mall Trust

อย่างไรก็ดี “หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี” มีแนวโน้มจะปรับลง จากการเพิ่มข้อกำหนดทั้งในสหรัฐฯและจีน ท่ามกลางทั่วโลกที่กำลังผลักดัน 5G เพื่อพิสูจน์ถึงชัยชนะของบริษัทเทคโนโลยีในเอเชียรายใหญ่ เช่น SK Hynix, Yageo Tencent และ Alibaba


3. จับตาการระบาดของ Covid-19

การเปลี่ยนทีมบริหารรัฐบาลในช่วงเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “ทิศทางเศรษฐกิจ” และ “แนวโน้มการลงทุน” จะขึ้นอยู่กับปัจจัยการระบาดของไวรัสโคโรนาที่ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก โดยอีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ปี 2021

รายงานจาก Morning Star คาดว่า

- Covid-19 จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นออกไปอีก 6 เดือน

- ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นจะตอบรับ “ข่าววัคซีน” กับ “ความเสี่ยงในการขยาย Lockdown”


บรรดาผู้เชี่ยวชาญ แนะนำการจัดสรรพอร์ตลงทุนให้เหมาะสม


StashAway แนะกำหนดกลยุทธ์ให้เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลง เน้นบริการเงินลงทุนเพื่อป้องกันการขาดทุนและผลกำไร

บริษัท Zerodha โบรกเกอร์หุ้นของอินเดีย แนะนำให้ระมัดระวังมากขึ้น แม้จะมีข่าวคืบหน้าวัคซีนก็ตาม แต่การจะเข้าสู่ปีใหม่ให้ปรับพอร์ตให้ได้อย่างน้อย 50% เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตจากเทคนิคการลงทุนเพื่อชดเชยความเสี่ยงต่างๆ

อย่างไรก็ดี แม้ตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวแดนบวก แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวก็ยังเป็นเรื่องสำคัญและต้องระวังมากขึ้น และมีการกระจายการลงทุนในพอร์ตให้มากขึ้นป้องกันความเสี่ยงต่างๆ


ที่มา: CNBC

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com