• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563

    23 พฤศจิกายน 2563 | Economic News
 

· ดอลลาร์เคลื่อนไหวใกล้แนวรับ - นิวซีแลนด์ดอลลาร์พุ่งทำแข็งค่ามากสุด 2 ปี

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมาจาก 92.266 จุด และมีโอกาสกลับลงมาบริเวณแนวรับ 92.129 จุด และ 91.373 จุดอีกครั้ง โดยตลาดถูกกดดันจากข่าวัคซีน Covid-19 ที่ช่วยบดบังเกี่ยวกับการคุมเข้มทางเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสและทำให้ตลาดหันมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเวลานี้

ตลาดญี่ปุ่นปิดทำการในวันนี้ เนื่องในวันหยุดประจำชาติ

ค่าเงินนิวซีแลนด์ดอลลาร์ทำแข็งค่ามากสุดรอบ 2 ปีบริเวณ 0.6962 อันเนื่องจากข้อมูลยอดค้าปลีกที่ออกมาแข็งแกร่งอย่างมาก จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อ รวมทั้งหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของนิวซีแลนด์ปรับตัวขึ้น

ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นมาที่ 1.1872 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ไม่สามารถยืนได้เหนือ 1.1893 ดอลลาร์/ยูโร ที่เป็นระดับแนวต้านในสัปดาห์ที่แล้ว แต่แนวโน้มหลักยังคงชัดเจนว่า ค่าเงินยูโรเป็นขาขึ้น หลังจากที่ทำสูงสุดบริเวณ 1.1919ดอลลาร์/ยูโรในเดือนพ.ย.

นักวิเคราะห์จาก Capital Economics ก็มองระยะยาว "ยูโรเป็นขาขึ้น" เช่นกัน และคาดว่าจะเห็นยูโรปรับแข็งค่าขึ้นได้ต่อในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจากความเสี่ยงด้านเสถียรภาพในยูโรโซนที่อยู่ระดับต่ำ และการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่มี Gapระหว่างยูโรโซนและสหรํฐฯที่ตรงข้ามกัน ประกอบกับปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จึงคาดว่าค่าเงินยูโรน่าจะขึ้นแตะ 1.2500 ดอลลาร์/ยูโรได้ในช่วงสิ้นปี 2021 และทดสอบ 1.3000 ดอลลาร์/ยูโรได้ในช่วงเข้าใกล้ ปี 2022 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.2000 ดอลลาร์/ยูโร และ 1.25000 ดอลลาร์/ยูโรตามลำดับ

ค่าเงินเยนทรงตัวบริเวณ 103.74 เยน/ดอลลาร์ ใกล้กับแนวรับ 103.62 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งหาก Break ลงมามีโอกาสทดสอบระดับแข็งค่ามากสุดของเดือนพ.ย.บริเวณ 103.16 เยน/ดอลลาร์ ที่เป็นระดับแข็งค่ามากสุดตั้งแต่ที่ตลาดเผชิญความผันผวนในเดือนมี.ค.

ข่าวคืบหน้าวัคซีนกดดันดอลลาร์ที่ถือตัวเองเป็น Safe-Haven ท่ามกลางคาดการณ์ที่ว่าสหรัฐฯจะเป็นประเทศแรกที่ได้รับการฉีดวัคซีนหลังจากที่ FDA ทำการอนุมัติให้ในช่วงกลางเดือนหน้า

อังกฤษก็อาจให้เจ้าหน้าที่อนุมัติการใช้วัคซีน Covid-19 ของบริษัท "Pfizer-BioNTech" ในสัปดาห์นี้


· ทรัมป์ยื่นอุทธรณ์ต่อผลคะแนนเลือกตั้งรัฐเพนซิลเวเนีย หลังจากที่มีความชัดเจนว่าผลคะแนนในรัฐดังกล่าว "นายไบเดน" เป็นผู้ชนะในการเลือกตั้ง 3 พ.ย. ที่ผ่านมา


· รายงาน เผย "ไบเดน" น่าจะแต่งตั้ง นางลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ มาดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการทูตสหรัฐฯประจำ U.N.


· "ไบเดน" มีแนวโน้มเลือก นายแอนโธนี บลิงก์เกน มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ โดยที่นายบลิงก์เกนถือเป็นคนสนิทของนายไบเดน และเป็นหนึ่งคนที่นายไบเดนเชื่อมั่นในฝีมือ ที่จะทำการช่วยเหลือในการเตรียมแก้ไขนโยบายต่างประเทศที่นายทรัมป์ สร้างเอาไว้

ขณะเดียวกันรายงานจากรอยเตอร์ส ก็ระบุว่า การเลือกนายบลิงก์เกน จะช่วยฟื้นบทบาทของสหรัฐฯในระดับโลกได้ ตามคำมั่นในการที่สหรัฐฯจะกลับมาเป็นผู้นำในเวทีโลก ด้วยผู้เชี่ยวชาญและนักการทูต แม้ว่านายทรัมป์ยังไม่เลิกล้มค้านผลการเลือกตั้ง


· "ไบเดน" เดินหน้าแต่งตั้งทีมบริหาร ขณะที่ความหวังของนายทรัมป์ในการชนะรัฐใหญ่ๆเลือนลางลงไป


· James Bianco เตือน กังวลภาวะ "ว่างงาน" ช่วง Lockdown จะกระทบการจับจ่ายในช่วง "เทศกาล"

ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นดูกำลังจะเริ่มกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภค ในสภาวะที่มีสัญญาณเตือนถึงความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติงานที่บ้านได้



· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาสะสมทั่วโลกทะลุ 59 ล้านรายได้แล้วในวันนี้ ท่ามกลางยอดเสียชีวิตสะสมที่ใกล้ผ่าน 1.4 ล้านราย

สหรัฐฯยังคงเป็นประเทศอันดับ 1 ที่มียอดติดเชื้อสูงกว่า 12.589 ล้านราย ขณะที่อินเดียทะลุ 9 ล้านรายมาที่ 9.14 ล้านราย และบราซิลมียอดติดเชื้อสูงผ่าน 6 ล้านรายเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่รัสเซียเองก็มียอดติดเชื้อทะลุ 2 ล้านรายขึ้นมาได้ในสัปดาห์นี้


· Reuters รายงานคาดการณ์ "การจ่ายเงินปันผลทั่วโลก" ปรับตัวลดลงจากวิกฤต Covid-19

โดยคาดว่าผลประกอบการบริษัทรายใหญ่ในปีนี้จะร่วงลงประมาณ 17.5% - 20% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.63 แสนล้านเหรียญ แต่ภาพรวมอาจเห็นผลประกอบการฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งปีหน้า


· เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขสหรัฐฯ เผย วัคซีน Covid-19 จะส่งถึงชาวอเมริกากลุ่มแรกในช่วงกลางเดือนพ.ย. โดยอาจเริ่มต้นฉีดโดสแรกภายใน 1 หรือ 2 วัน หลังมีการอนุมัติในเดือนหน้า


· Oxford-AstraZeneca เผยการทดสอบล่าสุดมีประสิทธิภาพ 70% ในการต้านไวรัส


· Deloitte เผย ข้อมูลจากศูนย์กลางด้านการก่อสร้างแห่งใหม่ในลอนดอน ร่วงลงกว่า 50% หรือกว่า 2.6 ล้านฟีต ซึ่งถือเป็นอัตราเฉลี่ยที่แย่ที่สุดด้านการก่อสร้างจากวิกฤต Covid-19


· สมาชิกอีซีบี ย้ำ การเข้าซื้อพันธบัตรฉุกเฉินของอีซีบีจะยังมีอยู่ แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ตาม

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอีซีบี กล่าวว่า อีซีบีจะเดินหน้าเข้าซื้อพันธบัตรต่อเนื่องตราบเท่าที่การระบาดของไวรัสโคโรนายังเป็นอุปสรรคต่อการให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งอีซีบีอาจคงการเข้าซื้อพันธบัตรฉุกเฉินไว้จนถึง 30มิ.ย.เป็นอย่างน้อย แต่ก็ส่งสัญญาณว่า "อาจมีการเปลี่ยนแปลง" โครงการบางอย่างในการประชุมเดือนธ.ค. จึงเป็นไปได้ที่ตลาดอาจสื่อถึงการขยายเวลา และขยายวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตร


· ข้อมูลกิจกรรมธุรกิจยูโรโซนหดตัวทำต่ำสุดรอบ 6 เดือนหลังจากที่ Lockdown รอบใหม่เพื่อจำกัดการระบาดของ Covid-19

โดยข้อมูล Flash PMI ของยูโรโซนพบกิจกรรมทั้งการผลิตและบริการหดตัวลงแตะ 45.1 จุดในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดรอบ 6 เดือน


· เยอรมนีอาจเริ่มต้นโปรแกรมวัคซีน Covid-19 ในเดือนธ.ค.

รัฐมนตรีด้านสาธารณสุขของเยอรมนีอาจเริ่มฉีดวัคซีน Covid-19 เร็วสุดในเดือนหน้า ซึ่งนี่เป็นเหตุผลเชิงบวกที่อาจเห็นวัคซีนในยุโรปได้รับการอนุมัติภายในปีนี้


· การปรับลดความน่าเชื่อถือจะส่งผลให้การกู้ยืมของประเทศแอฟริกาใต้เพิ่มสูงขึ้น

รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของแอฟริกาใต้ กล่าวว่า การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศโดยสถาบัน Moody's และ Fitch อาจยิ่งทำให้การกู้ยืมของประเทศเพิ่มสูงขึ้น และจำกัดทางเลือกการใช้งบทางการเงิน

วันศุกร์ที่ผ่านมา สถาบันจัดอันดับ Moody's และ Fitch Ratings ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของประเทศสู่อันดับขยะ อันเป็นผลจากระดับหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น และมีแนวโน้มจะส่งผลให้การดำเนินแนวทางการเงินอ่อนตัว ท่ามกลาง S&P Global ที่มีการยืนยันอันดับความเชื่อถือในเชิงเดียวกัน

ขณะที่งบประมาณระยะกลางในเดือนพ.ย. ทางสถาบันตราสารหนี้แห่งชาติ อาจเผชิญยอดขาดดุลที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 15% ของจีดีพีในปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดในเดือนมี.ค. ปี 2021 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ภาคอุตสหากรรมของประเทศแอฟริกาใต้โดยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน พบมีระดับหนี้สินที่เกือบ 4 ล้านล้านแรนด์ (2.6 แสนล้านเหรียญ) หรือกว่า 63.3% ของจีดีพี และค่า Ratio ระหว่างระดับหนี้ต่อจีดีพีแกว่งตัวสูงกว่า 90% ในช่วง 3 ปี เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มขึ้นที่ย่ำแย่ที่สุดในโลก


· จีนไม่พอใจสหรัฐฯส่งเจ้าหน้าที่แอบเยือนไต้หวัน ขู่คว่ำบาตรกลับ

เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของกองทัพสหรัฐฯได้เดินทางเยือนไต้หวันโดยไม่มีการประกาศให้ทราบล่วงหน้า โดยเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวคือ พลเรือตรีไมเคิล สทุดแมน ซึ่งดูแลงานข่าวกรองประจำกองบัญชาการภาคพื้นอินโดแปซิฟิก

ทางด้านกระทรวงต่างประเทศไต้หวันเปิดเผยถึงการต้อนรับเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี กระทรวงยังปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้ประกาศให้สาธารณชนทราบ

ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาประนามการเดินทางเยือนไต้หวันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐในครั้งนี้ และขู่ว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตร เพื่อตอบโต้การที่สหรัฐขายอาวุธให้ไต้หวัน


· การทำข้อตกลง RCEP จะช่วยให้จีนมีเสถียรภาพที่ยังยื่นมากขึ้นในภาวะห่วงโซ่อุปทานโลก


· Reuters รายงานว่า ทีมบริหารทรัมป์ร่างรายชื่อ 89 บริษัทจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางการทหาร และใกล้จะประกาศในเร็วๆนี้ กับบทลงโทษในการเข้มงวดด้านการเข้าซื้อสินค้าและเทคโนโลยีต่างๆของสหรัฐฯ

และหากรายชื่อดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา อาจยิ่งสร้างความตึงเครียดทางการค้า กับสหรัฐฯและจีน ในการขายชิ้นส่วน-อะไหล่แยกให้แก่จีน ที่อาจกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆด้วย


· ฮ่องกง - สิงค์โปร์ ถูกเลื่อนสายการบิน ตอกย้ำการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

และการเลื่อนสายการบินในเอเชียถือเป็นภาวะฟองสบู่ในด้านการทองเที่ยวแรกระหว่างฮ่องกง-สิงค์โปร์ ที่ได้รับผลกระทบจากการแบ่งปันผู้โดยสารระหว่างกัน ท่ามกลางความท้าทายในการเผชิญกับปัญหาภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับโลก และการพยายามฟื้นคืนการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19


· ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ คาดว่า การปรับลดดอกเบี้ยยังไม่เพียงพอที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจจนถึงปี 2021 ได้


· ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจากความหวังวัคซีน COVID-19, OPEC +

ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นเนื่องจากกลุ่มผู้ค้าน้ำมันให้ความสนใจไปยังปริมาณอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาที่ประความความสำเร็จ ถึงแม้ว่าราคาจะยังคงถูกกดดันจากการล็อกดาวน์รอบใหม่ในหลายๆประเทศก็ตาม

โดยความเชื่อมั่นยังได้รับแรงหนุนจากความหวังว่ากลุ่มโอเปก, รัสเซียและผู้ผลิตรายอื่น หรือที่รู้จักกันในชื่อ OPEC + จะยังคงรักษาระดับการผลิตไว้ต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.5% ที่ระดับ 45.17 เหรียญ/บาร์เรล

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ 0.2% ที่ระดับ 42.52 เหรียญ/บาร์เรล

โดยทั้งคู่ปรับเพิ่มขึ้น 5% จากสัปดาห์ที่แล้ว

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com