· จีนไม่ต้องการให้สหรัฐฯ และพันธมิตร “ตั้งป้อมต่อต้าน” ในยุคหลังทรัมป์
จีนมีความกังวลว่ามีโอกาสสูงที่ประเทศต่างๆในเอเชียจะร่วมมือกับสหรัฐฯในการตอบโต้จีนภายใต้การเลือกตั้งประธานาธิบดีโจไบเดน และต้องป้องกันไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น
ความกดดันระหว่างจีนและสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดี นาย โดนัล ทรัมป์ ซึ่งนโยบาย “America first” อเมริกาต้องมาก่อนโดยมักใช้แนวทางฝ่ายเดียวแทนที่จะประสานงานกับพันธมิตร
อย่างไรก็ดีรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น อินเดียและออสเตรเลีย หรือ เรียกกลุ่มนี้ว่า “วงเสวนาจตุภาคีด้านความมั่นคง” ยังคงคลุมเครือในการหารือ ท่ามกลางการประชุมที่โตเกียว เมื่อเดือนที่แล้ว ขณะที่ไมค์ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐวิพากษ์วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ ทั้งสามประเทศมีเศรษฐกิจที่สำคัญต่อจีน ทุกประเทศต้องอาศัยจีนเป็นแหล่งสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกันทั้งนั้น
แต่โตเกียวกลับมีความสัมพันธ์กับสหรัฐด้วยเช่นกัน นี่คือสิ่งที่จีนต้องเตรียมตัวรับมือ
· โพลล์สำรวจจาก Reuters ระบุว่า ภาคการผลิตของจีนประจำเดือนพ.ย.มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเร็วขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
โดยคาดว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ย. จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 51.5 จากเดิมที่ 51.4 ในเดือนต.ค.
· จีนขึ้นภาษีไวน์ตอบโต้ออสเตรเลีย
กระทรวงพาณิชย์ของจีน ระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.นี้เป็นต้นไป "จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง" ไวน์จากออสเตรเลียต้องเสียภาษีนำเข้าที่ 107.1% ถึง 212.1% โดยเน้นการตรวจสอบไวน์ในบรรจุภัณฑ์ที่มีปริมาตรสุทธิไม่เกิน 2 ลิตร เพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลแคนเบอร์ราใช้มาตกรารทุ่มตลาดกับไวน์ที่ส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับอุตสาหกรรมไวน์ของจีน
· บรรดาผู้เชี่ยวชาญคาดว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ จะต้อนรับนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนล่าสุด ด้วยการทดสอบยิงขีปนาวุธหรืออาวุธนิวเคลียร์หลังจากที่นายโจ ไบเดนเข้ารับตำแหน่ง เช่นเดียวกับที่เคยทำเมื่อครั้งที่อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และประธานาธิบดีโนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง
· เยอรมนีวางแผนที่จะกู้เงินเกือบ 2 เท่าที่วางแผนไว้สำหรับปีหน้าเพื่อเป็นเงินช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับธุรกิจในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาระลอกที่สอง เป็นจำนวนเกือบ 180,000 ล้านยูโร (215,000 ล้านเหรียญ) ซึ่งเป็นจำนวนเงินกู้ยืมใหม่สุทธิที่มากที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์หลังสงครามของเยอรมนี
· นายวิกโตร์ โอร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ระบุว่า รัฐบาลจะตัดสินใจประมาณ 8-10 วันเกี่ยวกับมาตรข้อจำกัด ที่จะบังคับใช้ในช่วงวันหยุดคริสต์มาสเพื่อลดการติดเชื้อไวรัสโคโรนา
โดยในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเคอร์ฟิวในเวลากลางคืนและมีการนำข้อจำกัดมาใช้ ซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและในไม่ช้าจำนวนผู้ป่วยไวรัสโคโรนาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะสูงถึง 10,000 ราย ซึ่งหมายความว่าระบบการดูแลสุขภาพอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมหาศาล
· ผู้ร่วมพัฒนาวัคซีนของสิงคโปร์ เปิดเผย “วัคซีน Arcturus” อยู่ในเชิงบวก พร้อมใช้จริง ในปี 2021
บริษัท ชีวเภสัชศาสตร์ของสหรัฐฯ Arcturus Therapeutics ร่วมพัฒนาวัคซีนร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ โรงเรียน Duke-NUS Medical ประเทศสิงคโปร์ ประกาศ ผลการทดลองที่ผ่านมาเมื่อต้นเดือน ผลวัคซีน ARCT-021อยู่ในเชิงบวก จากการระยะทดลองเฟดที่ 1
โจเซฟ เพน ตำแหน่งประธานและซีอีโอของ Arcturus Therapeutics เปิดเผยว่า ข้อดีอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนใครของวัคซีน Arcturus เป็นวัคซีนที่สามารถให้ได้ในปริมาณขนาดต่ำซึ่งคาดว่าจะมีขนาด 7.5 ไมโครกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยกว่าวัคซีนอื่น ๆ ที่ได้รับการทดสอบในปัจจุบัน ซึ่งขั้นตอนการผลิตสามารถผลิตในปริมาณมากขึ้นในแต่ละครั้ง ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและเงินด้วย
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเนื่องจากความกังวลด้านอุปทานและข้อสงสัยเกี่ยวประสิทธิภาพของวัคซีน
ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงจากการซื้อขายที่เบาบางเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐฯ ท่ามกลางความความกังวลกับภาวะอุปทานที่ล้นตลาดและข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีนเพื่อยุติการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
น้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 31 เซนต์ หรือ 0.7% ที่ระดับ 47.90 เหรียญ/บาร์เรล ลดลงจากเมื่อคืนนี้ 1.7%
น้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 1.02 เหรียญ หรือ 2.2% ที่ระดับ 44.69 เหรียญ/บาร์ โดยราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเมื่อวานตรงกับวันหยุด
โดยน้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิด ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 6% ในสัปดาห์นี้หลังจากที่ AstraZeneca ประกาศก่อนหน้านี้ว่าวัคซีน COVID-19 อาจมีประสิทธิภาพสูงถึง 90%
· เวเนซุเอลาเริ่มส่งน้ำมันโดยตรงให้จีน ไม่สนสหรัฐคว่ำบาตร
เวเนซุเอลาได้เริ่มขนส่งน้ำมันโดยตรงไปยังประเทศจีนอีกครั้ง หลังจากที่มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐทำให้เวเนซุเอลาต้องลักลอบทำการค้าน้ำมันกับจีนมาเป็นเวลานานกว่า 1 ปี โดยรายงานดังกล่าวได้มาจากข้อมูลความเคลื่อนไหวด้านการเดินเรือของ Refinitiv Eikon และจากเอกสารภายในของบริษัท Petroleos de Venezuela (PDVSA) ของรัฐบาลเวเนซุเอลา
รายงานระบุว่า บริษัทไชน่า เนชั่นแนล ปิโตรเลียม คอร์ป (CNPC) และบริษัทปิโตรไชน่า ซึ่งเป็นสองบริษัทของรัฐบาลจีนที่เป็นลูกค้ารายสำคัญของ PDVSA มาเป็นเวลานานนั้น ได้หยุดการขนถ่ายน้ำมันดิบและเชื้อเพลิงที่ท่าเรือของเวเนซุเอลาในเดือนส.ค. 2562 หลังจากรัฐบาลสหรัฐได้ขยายการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัท PDVSA ให้ครอบคลุมถึงบริษัทใดๆ ที่ทำการค้ากับ PDVSA ด้วย
บรรดาลูกค้าของ PDVSA ได้เปลี่ยนสถานที่ขนส่งน้ำมันไปยังประเทศมาเลเซียแทน ซึ่งสามารถถ่ายโอนสินค้าระหว่างเรือในทะเล ทำให้น้ำมันดิบส่วนใหญ่ของเวเนซุเอลายังคงสามารถส่งไปยังประเทศจีนได้ หลังจากที่มีการเปลี่ยนมือ และการใช้คนกลางในการซื้อขาย
ทั้งนี้ คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อเวเนซุเอลา โดยมีเป้าหมายที่จะบีบให้ประธานาธิบดีนิโคลาส มาดูโร ลาออกจากตำแหน่ง แต่มาตรการดังกล่าวไม่สามารถยับยั้งการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลาได้ทั้งหมด และไม่สามารถบั่นทอนอำนาจของปธน.มาดูโร
บริษัท PDVSA, ปิโตรไชน่า และ CNPC รวมทั้งกระทรวงน้ำมันของเวนเนซุเอลา ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวนี้