• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563

    30 พฤศจิกายน 2563 | Economic News
 

· ดอลลาร์ร่วงทำต่ำสุดรอบ 2 เดือน จากเฟดประเด็นสำคัญตลาด

ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงในรอบกว่า 2 ปีและเรียกได้ว่า พ.ย. เป็นเดือนที่มีการอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ก.ค.ที่ผ่านมา เพราะได้รับแรงกดดันจากข่าว

- คืบหน้าวัคซีนเชิงบวก

- การผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มในสหรัฐฯ

- นักลงทุนลดการสำรองค่าเงิน

ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.1% ที่ 91.707 จุด ต่ำสุดตั้งแต่เม.ย. ปี 2018

ค่าเงินกลุ่มที่อ่อนไหวตามสินทรัพย์เสี่ยงปรับแข็งค่าขึ้นแรง อาทิ ค่าเงินนิวซีแลนด์ดอลลาร์ที่ทำแข็งค่ามากสุดรอบกว่า 2 ปีครึ่ง หนุนเดือนพ.ย. ปรับแข็งค่าขึ้นได้ด้วยอัตราที่มากที่สุดในรอบ 7 ปี

นักวิเคราะห์จาก ANZ Bank กล่าวว่า ภาพหลักดอลลาร์ยังอ่อนค่าจากความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มจะเห็นดอลลาร์อ่อนค่าต่อในเดือนธ.ค. ประกอบกับการประชุมเฟด 15-16 ธ.ค. นี้ ที่หากมีการดำเนินการใดๆเพิ่มก็อาจกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่า รวมถึงความเสี่ยงระยะสั้นของไวรัสในสหรัฐฯ

ค่าเงินยูโรและออสเตรเลียดอลลาร์ปรับขึ้นต่อเนื่องทำแข็งค่ามากสุดรอบ 3 เดือน แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ท่ามกลางหุ้นทั่วโลกที่อ่อนตัวลงหลังปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ในเดือนพ.ย.นี้

ซึ่งค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นกว่า 5%

ค่าเงินกีวีของนิวซีแลนด์ปรับแข็งค่าขึ้น 6.3%

ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 2.8%

ดัชนีดอลลาร์เดือนพ.ย. อ่อนค่าลงประมาณ 2.5% อันเป็นผลจากวัคซีน Covid-19 ที่ส่งผลให้นักลงทุนค่อนข้างดีใจที่จะนำมาซึ่งการยุติการระบาดได้ และภาพรวมดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงเกือบ 11% ต่ำกว่าสูงสุดเดือนมี.ค. ที่ 102.99 จุด

ความกังวลเกี่ยวกับการระบาดรอบใหม่ของไวรัสโคโรนาทั่วยุโรปและสหรัฐฯ ประกอบกับการ Lockdown รอบใหม่ ได้ช่วยหนุนให้ค่าเงินกลุ่ม Safe-Haven บางส่วนแข็งค่าขึ้นได้ และกดดันดอลลาร์เพิ่ม

อย่างไรก็ดี ถึงแม้สภาคองเกรสยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ แต่นักลงทุนก็ดูจะใส่ใจและให้ความสำคัญกับก้าวต่อไปในการดำเนินนโยบายของเฟด ที่อาจมีการเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มในการประชุม 15-16 ธ.ค.นี้

ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้น 0.3% ที่ 103.87 เยน/ดอลลาร์ และเดือนพ.ย.นี้ แข็งค่าเล็กน้อย 0.5% ท่ามกลางยอดเสียชีวิตสะสมทั่วโลกที่เข้าใกล้ 1.5 ล้านราย

ค่าเงินหยวนยังแข็งค่าต่อเป็นเดือนที่ 6 และมีการปรับแข็งค่ามากถึง 9% จากต่ำสุดในเดือนพ.ค. ประกอบกับการมีเม็ดเงินทุนทั่วโลกก็ดูจะไหลเข้าสู่ตลาดจีนเพื่อที่ดูจะยิ่งตอกย้ำถึงการฟื้นตัวได้หลังเผชิญ Covid-19 และทำให้เดือนพ.ย.นี้

ในช่วงวันสุดท้ายของเดือนพ.ย. ดูจะเห็นความต้องการดอลลาร์เพิ่มขึ้นและกดดันเงินหยวน จึงชดเชยกับการปรับแข็งค่าของเงินหยวนก่อนหน้านี้จากทิศทางข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยที่วันนี้หยวนอ่อนค่าลง 0.2$ แถว 6.5851 หยวน/ดอลลาร์

Bitcoin ปรับขึ้น 2% ที่ 18,557 เหรียญ และเดือนพ.ย. นี้ปรับขึ้นได้กว่า 34% เป็นเดือนที่ปรับขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เม.ย. ที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้กลุ่มนักลงทุนรอคอยข้อมูลเศรษฐกิจ

- เงินเฟ้อยุโรป

- ถ้อยแถลงของประธานอีซีบี


ตลาดให้ความสำคัญกับถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรสในวันอังคารนี้และวันพุธนี้ ควบคู่กับข้อมูลตลาดแรงงานสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นแนวทางการพิจารณาว่าเฟดมีความคิดเห็นอย่างไรต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ


· ทรัมป์เพิ่มบริษัท "SMIC" และ "CNOOC" ของจีนเข้าสู่รายการ Blacklist ด้านความมั่นคง

ทีมบริหารของนายทรัมป์เพิ่มบริษัทของจีนทั้ง SMIC ที่เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ และ CNOOC ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันและแก๊สของจีนเข้าสู่ Blacklist รายชื่อบริษัทที่ให้การสนับสนุนทางการทหารของจีน ส่งผลให้รวมเข้าเป็น 35 บริษัทจีนที่ถูกแบน จึงจำกัดการเข้าถึงของนักลงทุนในสหรัฐฯ และ ยิ่งตอกย้ำความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯมากขึ้น ก่อนที่นายไบเดนจะมารับช่วงต่อในการบริหารประเทศต่อไป

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าการแบนรอบใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อใดและมีการประกาศผ่านเอกสารรัฐบาลกลางอย่างไร แต่รายชื่อบริษัท 4 แห่งล่าสุด จะประกอบด้วย

- China Construction Technology

- China International Engineering Consulting

- Semiconductor Manufacturing International Corp (SMIC)

- China National Offshore Oil Corp (CNOOC)

อย่างไรก็ดี ฝ่ายกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯยังไม่ได้ตอบรับอะไรกับการร้องขอในประเด็นดังกล่าว


· ผลวิจัยชี้ยอดติดเชื้อโควิดในอังกฤษลดลง 30% เป็นการเก็บข้อมูลจากกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 100,000 ราย หลัง Lockdown ทั่วประเทศ ซึ่งพบว่า การติดเชื้อลดลง 30% โดยมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 96 รายต่อ 10,000 รายในระหว่างวันที่ 13-24 พ.ย. ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับผลวิจัยที่ดำเนินการเมื่อวันที่ 16 ต.ค.-2 พ.ย. ซึ่งมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 130 รายต่อประชากร 10,000 ราย

โดยกรมสาธารณสุขระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในช่วงที่อังกฤษเริ่มเข้าสู่การ Lockdown นั้น จำนวนผู้ติดเชื้อกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ลดลงหลังมีการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวทั่วประเทศได้เป็นผลสำเร็จ


· ธนาคารกลางจีน (PBoC) สร้างเซอร์ไพร์สตลาด-อัดฉีดเงินเสริมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธนาคารต่างๆ เพื่อสนับสนุนการกู้ยืมระยะกลาง หลังพบปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มมากขึ้นจนเห็นได้ชัด ทำให้ PBoC ตัดสินใจอัดฉีดเงินเพิ่ม 2 แสนล้านหยวน (3.04 หมื่นล้านเหรียญ) ผ่านโครงการเงินกู้ MLF อายุ 1 ปี (ระยะกลาง) แต่ยังคงดอกเบี้ยที่ 2.95% และจะมีผลในวันที่ 15 ธ.ค. นี้เป็นต้นไป เพื่อรองรับกับปริมาณการซื้อขายในตลาด


· นักเศรษฐศาสตร์จาก DBS เผย วัคซีนจีนอาจถูกยื่นอุทธรณ์จากประเทศกำลังพัฒนา หลังมีแนวโน้มกับความต้องการใช้วัคซีนจากชาติตะวันตกมากกว่า และมีผลให้วัคซีนจำนวนนับพันล้านโดสเสี่ยงที่จะถูกลดยอดสั่งจองลง และเพิ่มการใช้วัคซีนของชาติตะวันตกแทน

ภาพรวมก็ยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดการเปลี่ยนความต้องการเร็วขึ้นอีก หากองค์การอาหารและยาหรือผู้อนุมัติวัคซีนทำการอนุมัติใช้ของทางตะวันตก ขณะที่ประเทศยากจนอาจเผชิญกับปัญหาการไม่มีเม็ดเงินเพียงพอในการซื้อวัคซีน


· หุ้นบริษัท Treasury Wine Estates (TWE) ของออสเตรเลียร่วงลงอย่างแรง หลังเผชิญการเก็บภาษีไวน์ของจีนกว่า 169.3% ตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping investigation)

เช้านี้หุ้นบริษัท TWE ร่วงลงไปกว่า 12% ในช่วงต้นตลาดวันนี้ และอ่อนตัวเมื่อเทียบกับตลาดโดยทั่วไป ถือเป็นการปรับตัวลดลงครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ที่จีนประกาศการเก็บภาษีเพื่อตอบโต้กรณีดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนส.ค.

ขณะที่บริษัทฯ จะทำการย้ายการส่งไวน์ไปยังจีนที่จะโดนภาษีมูลค่ามหาศาลที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อหุ้นบริษัทไปยังประเทศอื่นๆแทน แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีแนวโน้มกับตลาดไวน์รายใหญ่ที่สุดของจีนอย่างไร แต่น่าจะนำสินค้าของบริษัทในเครืออย่าง Penfolds ไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐฯ, ยุโรป และประเทศอื่นๆในแถบเอเชียและประเทศเพื่อนบ้านแทน

สำหรับไวน์ที่เคยส่งออกไปยังจีนจะมีการปรับกลยุทธ์การค้าเสรีรอบใหม่ระหว่างประเทศในรอบกว่า 5 ปีของฉบับเก่า ด้วยการใช้วิธีเจรจาทางการทูตเป็นหลัก ขณะที่ไวน์ที่เคยส่งตรงไปยังท่าเรือในเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น น่าจะมีผลกับไวน์ Penfolds ของบริษัทกว่าหนึ่งในสี่ และน่าจะหั่นผลประกอบการในการขายสินค้าในจี


· ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงโดยการซื้อขายเป็นไปอย่างระมัดระวัง ก่อนถึงการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัส

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงในวันนี้ ท่ามกลางนักลงทุนที่รอคอยการตัดสินใจของการประชุม OPEC+ ว่าจะมีการขยายการปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่เพื่อรักษาสมดุลของตลาดโลกหรือไม่ แต่ความหวังเกี่ยวกับวัคซีนก็ยังช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นได้มากกว่า 5 ครั้งในเดือนพ.ย.นี้

สัญญาน้ำมันดิบ Brent เดือนม.ค. ปรับลดลง 46 เซนต์หรือ 1% ที่ระดับ 47.72 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ สัญญาน้ำมันดิบ Brent ส่งมอบเดือน ก.พ.อยู่ที่ระดับ 47.83 เหรียญ/บาร์เรล ลดลง 42 เซนต์

น้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 48 เซนต์ หรือ 1.1% ที่ระดับ 45.05 เหรียญ/บาร์เรล

อย่างไรก็ตาม น้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิด ยังคงเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังเกี่ยววัคซีนไวรัสโคโรนาของสามบริษัทที่ช่วยสนับสนุนความต้องการใช้เชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com