นายแดน เจ้อจิ้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและเป็นรองประธานของสถาบัน HIS Markit กล่าวว่า สหรัฐฯและจีนยังประสบปัญหาการใช้อำนาจเป็นเครื่องมือระหว่างกัน และกำลังสร้างความกังวลว่าอาจไม่สามารถดำเนินงานร่วมกันได้
รายงานจากรอยเตอร์สล่าสุดยังคงชี้ให้เห็นถึงแผนของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะทำการคว่ำบาตรบริษัท CNOOC ที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันและแก๊สรายใหญ่ของจีนเข้าสู่รายชื่อ Blacklist และการดำเนินการเช่นนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของความต้องการ “แยกตัว” จากกัน หรือตอกย้ำ “ความไม่ลงรอยกัน” ระหว่างสองประเทศ
สัญญาณเตือนดังกล่าว กำลังเตือนให้เราต้องใช้วิธีหันหน้าเจรจาเพื่อหาข้อตกลงและความร่วมมือกัน รวมถึงโครงสร้างด้านความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ที่เป็นทั้งคู่แข่งด้านมหาอำนาจ, กลยุทธ์ และความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ และเวลานี้ทีมบริหารทรัมป์ก็ดูจะทำให้เรื่องมันแย่ลง หรือ “ค่อนข้างลำบากสำหรับทีมบริหารของนายไบเดน” ไม่ว่าจะเป็นปีที่ผ่านมา, ปีนี้ หรือต่อๆไป รวมทั้งประเทศอื่นๆที่จะได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน
แนวโน้มอุปสงค์น้ำมัน
นายเจ้อจิ้ง มีมุมมองต่อตลาดน้ำมัน ท่ามกลา OPEC+ ที่พิจารณากันในเรื่องการขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน และปัญหาของสหรัฐฯและจีน ที่ถึงแม้ว่าวัคซีนจะช่วยทำให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวและลดผลกระทบต่ออุปสงค์จากการระบาดของไวรัสโคโรนา
จะเห็นได้ว่า ราคาน้ำมันดิบอาจเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน โดยเฉพาะอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ก่อนที่ไวรัสจะระบาดอีกรอบ
ในความเป็นจริงอุปสงค์ในจีนทุกวันนี้มีปริมาณนับแสนบาร์เรล/วันที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เช่นเดียวกับประเทศอินเดีย
สถานการณ์ในเวลานี้จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ รวมไปถึงการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น อุปสงค์น้ำมันจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งเหมือนในปี 2019 ก็น่าจะเป็นช่วงปี 2022 – 2023
ที่มา: CNBC