ภาวะการฟื้นตัวก่อนปิดปีจะเกิดขึ้นหรือไม่?
อาจไม่น่าตื่นเต้นอะไรมากนัก
CFRA Research ระบุว่า โดยปกติในเดือนธ.ค. มักเป็นเดือนแห่งการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น นับตั้งแต่ปี 1945 ที่จะเห็นดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นได้เกือบ 1.5% และทุกๆเดือนธ.ค. ภาพรวมดัชนีปรับขึ้นได้กว่า 73% ของช่วงเวลานั้น
แต่ความหวังที่จะเห็นภาวะ “Santa Claus rally” อาจเกิดขึ้นได้น้อยลงเป็นการชั่วคราวในปีนี้
หนึ่งในประเด็นนี้มาจาก “การเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงในเดือนพ.ย.” ที่ผ่านมา
ดัชนี S&P 500 ในเดือนพ.ย. ปิดปรับขึ้นได้ 11.2% โดยปิดขึ้นทำ All-Time High ต่อเนื่อง 4 เดือน และถือเป็นเดือนที่ 2 ที่มีการปรับเพิ่มมากที่สุดของปีนี้ หลังจากที่เดือนเม.ย. ปรับขึ้นไปได้ 12.7%
อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนพ.ย. ก็ดูจะเป็นปัญญาสำหรับภาวะ “Santa Claus rally” ช่วงส่งท้ายปีที่มักจะเกิดขึ้น เพราะตามสถิติทางประวัติศาสตร์ พบว่า “เมื่อเดือนพ.ย. มีการปิดปรับขึ้น ก็จะขโมยแรงขึ้นในเดือนธ.ค. หรือจากซานต้าไป” แม้จะปรับขึ้นก็อาจจะไม่มากนักเหมือนปีอื่นๆ
เดือนพ.ย. ตลาดหุ้นได้รับแรงขับเคลื่อนจากหุ้นกลุ่มคุณค่าและวัฏจักรที่ปรับตัวขึ้นอย่างมาก แลมีความยั่งยืนมากกว่าการมูลค่าที่ปรับขึ้นในรอบก่อนๆ โดยได้รับแรงหนุนทั้งจากหุ้นกลุ่มที่มีคุณค่าต่างๆ อาทิ กลุ่มพลังงาน และธนาคารต่างๆ เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มวัฏจักรที่ปรับสูงขึ้น ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมและวัสดุต่างๆ
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มการเติบโตอย่าง “กลุ่มพลังงาน” กลับไม่มีแรงเทขายเข้ามามากนัก โดยนักลงทุนส่วนใหญ่สงสัยว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจะมาจากการเปลี่ยนไปถือครองหุ้นที่มีคุณค่ามากกว่า ในขณะที่หุ้นกลุ่มการป้องกันและผู้บริโภค อาทิ กลุ่มสุขภาพ หรือสินค้าทั่วไปก็ยังปรับขึ้นได้ด้วยเช่นกัน ทำให้ภาพรวมตลาดเกิดภาวะ Goldilocks ในเวลานี้
สิ่งที่น่าเป็นกังวล?
ปัญหาใหญ่ของตลาดที่มากกว่าการจัดการการเคลื่อนไวหตามสถิติในอดีต คือ “การประเมินต่อทิศทางเชิงบวกอย่างมากเกี่ยวกับอนาคตจากนี้” ซึ่งถึงจะมีความเชื่อมั่นเชิงบวกอย่างมาก แต่การระบาดของ Covid-19 ในช่วงหน้าหนาวก็ยังมีอยู่
และกว่าจะเกิดวัคซีนที่นำไปสู่การพร้อมใช้งานอย่างแพร่หลายที่ทำให้เศรษฐกิจโลกกลับมาเปิดทำการสู่ภาวะปกติได้ก็น่าจะเป็นช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า
จากสถิติตลาด สิ่งที่อาจทำให้เราลงทุนผิดทางมีอะไรบ้าง?
หัวหน้าฝ่ายการลงทุนจาก Tactical Alpha เตือนถึง “ระดับเงินเฟ้อทั่วโลก” ที่อาจนำไปสู่การประเมินและก้าวลงทุนอย่างผิดทาง และอาจประสบกับภาวะขาขึ้นเลือนลางลงไป
การทดสอบภาวะรับมือ “Stress testing” จากสภาวะ Goldilocks มีดังนี้
1) การกลับมาเปิดทำการ:
ตลาดตอบรับกับฤดูหนาวปีนี้ที่ยังมีการระบาดของ Covid-19 ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการกลับมาเปิดทำการทางเศรษฐกิจในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือช่วงต้นปีหน้าได้
เจ้าหน้าที่จาก UBS ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนฤดูกาลได้อย่างราบรื่นเพื่อกลับมาเปิดทำการได้หรือไม่ เพราะหากเราประเมินสถานการณ์ผิดพลาดก็อาจทำให้ต้องใช้เวลานานออกไปอีกหลายเดือน โดยเฉพาะการประเมินเรื่องวัคซีนที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยังมี “ปัญหาทางการเมือง” จากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาเรื่องความขัดแย้งกับอิหร่าน และเรื่องของวัคซีนว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง
2) การกระตุ้นเศรษฐกิจ: ปัญหาทางการเมืองจะเป็นปัญหาใหญ่ก่อนวันที่ 5 ม.ค. ที่วุฒิสภารัฐจอร์เจียจะมีการเปลี่ยนมือเพิ่มมากขึ้น จึงอาจส่งผลอย่างจำกัดต่อการผลักดันงบประมาณให้เกิดขึ้นได้ก่อน 11 ธ.ค. ที่อาจประสบปัญหา Shutdown รัฐบาลได้ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจเห็นวุฒิสภาที่พรรครีพับลิกันครองเสียงสร้างมากสนับสนุนการใช้มาตรการรัดเข็มขัดเพื่อควบคุมภาวะขาดดุลในปี 2021
3) การแข่งขันชิงเก้าอี้วุฒิสภาในรัฐจอร์เจีย: หากพรรคเดโมแครตได้คะแนนเสียงจากรัฐนี้และมีเก้าอี้จากรัฐจอร์เจียได้ 2 ที่นั่ง ก็อาจส่งผลให้อำนาจการโหวตในวุฒิสภาสหรัฐฯลดลงได้ จึงอาจเห็นการ “ขึ้นภาษีภาคธุรกิจหรือรายบุคคลเพิ่มมากขึ้น” และอาจสูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ 25%
4) วัคซีน: ตลาดมีการประเมินเกี่ยวกับการแพร่หลายของวัคซีนที่น่าจะเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่นมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า ขณะที่ นายแลรี ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เชื่อว่า วัคซีนจะเพียงพอกับทุกคนในช่วงประมาณเดือนก.ย. ปีหน้า
แต่ก็อาจจะไม่เป็นปัจจัยที่ใหญ่พอจะพยุงเศรษฐกิจได้
พร้อมเตือนว่าเราอาจประเมินสถานการณ์ความคืบหน้าเกี่ยวกับวัคซีนผิดไป เนื่องจากไวรัสกำลังระบาดหนัก และวัคซีนอาจใช้งานได้ผลในเวลานี้ แต่ระยะยาวก็ยังไม่มีความแน่นอนว่ารูปแบบของ Covid-19 ในอนาคตนั้นจะตอบรับกับประสิทธิภาพของวัคซีนได้เหมือนในปัจจุบันหรือไม่
5) คุณค่า: คาดการณ์เติบโตของจีดีพีจะลดลงจากไตรมาสที่ 4/2019 และไตรมาสที่ 1/2020 โดยจะเห็นการโตขึ้นได้เพียงเล็กน้อยในไตรมาสที่ 4/2020 ปีนี้ เช่นเดียวกับผลประกอบการของบริษัทในกลุ่ม S&P 500 เป็นลักษณะเปลี่ยนทิศจากช่วงต้นปี
ดังนั้น นักลงทุนควรที่จะเข้าซื้อหุ้นเมื่อสภาวะทางเศรษฐกิจหนุนให้กลับมาเปิดทำการได้อีกครั้ง เนื่องจากจะเห็นถึงการประเมินผลประกอบการของพวกเขาได้ชัดเจน มากกว่าการซื้อหุ้นในวันพรุ่งนี้ซึ่งตัวผู้วิเคราะห์เองมองว่าจะรอซื้อในอีก 6 เดือน นับจากวันนี้ เพราะยังมีหลายอย่างที่อาจทำให้สถานการณ์ที่ประเมินไว้ในเวลานิ้ผิดเพี้ยนไป หรือแม้แต่การประเมินเรื่องการกลับมาเปิดทำการได้อีกครั้งในช่วงต้นปีของฤดูใบไม้ผลิ