ทองขึ้น-ดอลลาร์อ่อนขานรับเจรจากระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
· ราคาทองคำปรับขึ้นท่ามกลางการอ่อนค่าของดอลลาร์ และกลุ่มนักลงทุนคาดหวังต่อการกลับมาเจรจากระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐฯ แม้จะยังไม่สามารถตกลงกันได้
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด +0.4% ที่ระดับ 1,838.83 เหรียญ โดยช่วงต้นตลาดปรับขึ้นทำสูงสุดตั้งแต่ 23 พ.ย. บริเวณ 1,843.80 เหรียญ แต่แล้วข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์ที่ออกมาดีขึ้นกว่าที่คาดก็กดดันให้ราคาทองคำอ่อนตัวกลับลงมาอีกครั้งหนึ่ง
· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด +0.6% ที่ระดับ 1,841.10 เหรียญ
· ภาพรวมปีนี้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นแล้ว 21% ในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ จากการที่ระดับดอกเบี้ยอยู่ต่ำใกล้ศูนย์ และเงินเฟ้อมีแนวโน้มเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นจากการใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงินขนานใหญ่ทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับเศรษฐกิจ
· กองทุน SPDR เมื่อวานนี้ทำการเทขายทองคำออกมา 1.46 ตัน โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,189.82 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมของปีนี้อยู่ในสถานะเข้าซื้อสุทธิที่ 298.03 ตัน
· นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโสจาก RJO Futures กล่าวว่า สมาชิกสภาคองเกรสยังไม่สามารถเห็นพ้องกันเกี่ยวกับมาตรการฉบับใหม่ แต่ก็ยังมีสัญญาณที่ดีว่าข้อเสนอวงเงิน 9.08 แสนล้านเหรียญจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการสนับสนุนเพิ่มขึ้นได้ ท่ามกลางนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ที่มาพร้อมกับแนวคิดการเพิ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดก็คาดว่าจะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นจำนวนมากได้กว่าการเจรจาในปัจจุบัน จึงเป็นปัจจัยหนุนขาขึ้นสำหรับทองคำ
· การมาของข้อตกลงเศรษฐกิจในช่วงที่ทิศทางเชิงบวกเกี่ยวกับวัคซีน Covid-19 เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันก็ดูจะกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวใกล้ระดับอ่อนค่ามากสุดรอบกว่า 2 ปี และ “หนุนทองคำ” ด้วยเช่นกัน
· นักวิเคราะห์จาก StoneX ระบุว่า การเจรจากระตุ้นเศรษฐกิจและการอ่อนค่าของดอลลาร์ได้ช่วยเพิ่มแรงสนับสนุนในราคาทองคำ
· ราคาแพลทินัมปรับขึ้นใกล้ระดับสูงสุดรอบ 11 เดือน ที่ 1,032 เหรียญ ก่อนจะปิด +1% ที่ระดับ 1,024.8 เหรียญ
· นักวิเคราะห์จาก MKS PAMP วิเคราะห์ว่า ระดับราคามีการสะสมพลังเหนือ 1,000 เหรียญ จากความเชื่อมั่นทิศทางการฟื้นตัวของตลาดโลกในเชิงบวก ดังนั้น ราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 1,040 เหรียญ ท่ามกลางกองทุน ETFs ที่เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยหนุนคาดการณ์ยอดขาดดุลปี 2021
· ราคาพลาเดียมปิด -0.4% ที่ 2,390.7 เหรียญ และซิลเวอร์ปิด -0.8% ที่ 23.91 เหรียญ
· จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯปรับลงแตะต่ำสุดในช่วงการระบาด ขณะที่การจ้างงานเพิ่มมากขึ้นแม้ยอดติดเชื้อในประเทศจะอยู่ระดับสูง
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในช่วงที่มีการระบาด จากสัญญาณการจ้างงานที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
และนี่ถือเป็นสัปดาห์แรกที่ผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์ลดลงแตะ 712,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว หรือลดลง 75,000 รายจากสัปดาห์ก่อน
ภาพรวมตลาดแรงงานยังมีความแข็งแกร่งอยู่บ้างแม้จะเผชิญกับ New Wave ของไวรัสโคโรนาที่ทำให้มีผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในช่วงปลายเดือนมี.ค.พุ่งแตะ 6.9 ล้านราย แต่จะเห็นได้ว่าข้อมูลล่าสุดดีขึ้นกว่าที่คาดและมีการปรับตัวลดลงมาโดยตลาดกว่า 569,000 ราย สู่ระดับ 5.52 ล้านราย
ขณะที่ตลาดคืนนี้ให้ความสำคัญกับข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะประกาศในช่วง 20.30น. สถาบัน Dow Jones ประเมินว่าอาจเห็นภาครัฐบาลมีการจ้างงานเดือนพ.ย. น้อยลงแตะ 440,000 ตำแหน่งเท่านั้น
· “เพโลซี – แมคคอนเนล” กลับสู่โต๊ะเจรจาคองเกรสเร่งผลักดันแพ็คเกจ Covid-19
ผู้ช่วยโฆษกฯของนางเพโลซี ระบุผ่านทาง Tweeter ว่า ผู้นำสภาคองเกรสหารือกันเกี่ยวกับร่างกระตุ้นเศรษฐกิจ Covid-19 และร่างงบประมาณรัฐบาลด้วยความมุ่งมั่นเพื่อให้เกิดข้อตกลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และดูเหมือนพวกเขาต้องการเร่งผลักดันข้อตกลงทั้งสองให้ได้ภายใน 11 ธ.ค. นี้ ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายของงบประมาณรัฐบาล
· ยอดติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกมียอดสะสมทะลุ 65 ล้านราย ล่าสุดแตะ 65.50 ล้านราย จากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่เพิ่มขึ้นเกือบ 700,000 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมรวมทั่วโลกทะลุ 1.51 ล้านรายแล้ว
· สถานการณ์ในสหรัฐฯก็ยังไม่สู้ดี และมียอดติดเชื้อใหม่รายวันเพิ่มขึ้นกว่า 217,000 ราย รวมสะสมระดับ 14.53 ล้านราย และมี่ยอดเสียชีวิตสะสมรวมภายในประเทศสูงกว่า 282,000 รายแล้ว
· ผู้ว่าการัฐแคลิฟอร์เนียร์ ประกาศใช้มาตรการคุมเข้ม Stay-at-Home เพื่อบรรเทาวิกฤต Covid-19 ที่กระทบกับสถานพยาบาลหลังจากพื้นที่รักษาห้อง ICU ในภูมิภาคลดลงต่ำกว่า 15%
โดยมีการกำหนดให้ 5 ภูมิภาคในเขตรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้แก่ Bay Area, Greater Sacramento, Northern California, San Joaquin Valley และ Southern California อาศัยอยู่ที่บ้านในช่วงสถานการณ์ไวรัสโคโรนาระบาด
· หุ้น Pfizer ร่วง หลังบริษัทปรับลดเป้าหมายการผลิตวัคซีน!
หุ้นบริษัท Pfizer ดิ่งหลังจากบริษัทคาดการส่งออกวัคซีน Covid-19 ตามแผนเดิมในปีนี้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน
และคาดว่าจะส่งมอบวัคซีนได้เพียง 50 ล้านโดสในช่วงสิ้นปีนี้ ลดลงจากครั้งก่อนที่คาดว่าจะส่งมอบได้มากถึง 100 ล้านโดส ขณะที่ปีหน้าบริษัทยังหวังส่งมอบได้ 1.3 พันล้านโดส
รายงานดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ “ความเชื่อมั่น” และทำให้ระหว่างวันหุ้นบริษัท Pfizer ลงลึกกว่า 2% ก่อนจะปิด -1%
· อียูและอังกฤษ หวังเกิดข้อตกลงการค้าในไม่กี่วันนี้ โดยอังกฤษเล็งเห็นคืบหน้ามากขึ้น
คณะตัวแทนเจรจาทางการทูตของอียู คาดหวังว่า ข้อตกลงการค้า Brexit กับอังกฤษจะสามารถตกลงกันได้ภายในวันนี้หรือสุดสัปดาห์ และเจ้าหน้าที่อียูกล่าวถึงแนวโน้มที่จะมีการทบวนความคืบหน้าได้ในอีกสองวันข้างหน้า
อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีอังกฤษ เชื่อ จะเกิดความคืบหน้าที่ดีขึ้นในการเจรจาครั้งนี้ แต่เตือน EU ว่าลอนดอนจะไม่ลงนามในข้อตกลงที่ไม่อยู่ในผลประโยชน์
3 ผู้แทนเจรจาของอียู หวังเกิดข้อตกลงเร็วสุดวันนี้หรือปลายสัปดาห์ และมีสัญญาณอาจเข้าสู่ช่วงสำคัญในอีก 24-48 ชั่วโมงตามมา
· ศาลสูงสุดรัฐวิสคอนซิน ไม่รับคำฟ้องคดีเลือกตั้งของนายทรัมป์
ศาลสูงสุดวิสคอนซินไม่ต้องการรับฟังคำร้องเรื่องการเลือกตั้งของนายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะที่นายทรัมป์พยายามทางกฎหมายเพื่อพลิกคดีพ่ายแพ้
ซึ่งคดีการรณรงค์เลือกตั้งหาเสียงของนายทรัมป์ นายทรัมป์มีเป้าหมายที่จะทำให้บัตรเลือกตั้งกว่า 221,000 ใบเป็นโมฆะในสองรัฐที่เสียงส่วนใหญ่เลือกพรรคเดโมแครต อย่างไรก็ตามคดีดังกล่าวต้องดำเนินการผ่านศาลล่างก่อนถึงศาลสูงวิสคอนซิน
ในขณะที่วิทยาลัยการเลือกตั้งกำหนดให้ลงคะแนนเสียงในวันที่ 14 ธันวาคม นายไบเดนได้รับชัยชนะและรองประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้ง Kamala Harris ทนายความของทรัมป์ได้โต้แย้งว่าพวกเขาไม่มีเวลาดำเนินการผ่านช่องทางกฎหมายปกติ
· นักบริหารเงิน คาดค่าเงินบาทในวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 30.10-30.25 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่า ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยข่าวดีของสถานการณ์ไวรัสโคโรนาทั่วโลกที่ใกล้จะมีการใช้วัคซีนต้าน ไวรัสได้ในเร็วๆ นี้ และกรณีที่สหรัฐฯจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส รวมถึงปัจจัยจาก fund flow
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย.63 อยู่ที่ 52.4 จาก 50.9 ในเดือน ต.ค.63 โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และสูงสุดในรอบ 9 เดือน อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ชุมนุมทางการเมืองพร้อมคาดว่าผู้บริโภคจะยังชะลอการใช้จ่ายต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1 ปี 64
- สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 64 จะขยายตัว 4.1% ดีขึ้นจากที่คาดไว้ก่อนหน้าที่ 2.8% ส่วนปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัว -6.6% ดีขึ้นกว่าที่เคยคาดไว้ที่ -7.5% โดยเหตุที่ปรับมุมมองเชิงบวกมากขึ้น มาจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/63 ที่ออกมาดีกว่าคาด และเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นได้เร็วจากมาตรการกระตุ้นในแต่ละประเทศ โดยอาจเริ่มเห็นเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในไตรมาส 2/64
- ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในเดือน พ.ย.63 พบว่า ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีอยู่ที่ระดับ 161.41 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 161% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรงอย่างมาก" เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยนักลงทุนคาดหวังการไหลเข้าออกของเงินทุนเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมา คือ การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และนโยบายการเงินของเฟด รวมถึงผลสำเร็จของวัคซีนป้องกันโควิด-19