• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2563

    8 ธันวาคม 2563 | Gold News

ทองคำปิดลบคืนวันศุกร์ “แต่ปิดบวกสัปดาห์แรกในรอบ 4 สัปดาห์”

ราคาทองคำปิดวันศุกร์ลดลง -0.3% ที่ระดับ 1,834.92 เหรียญ ปิดสัปดาห์ที่ +2.6%

สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิดปรับลง 0.1% ที่ 1,840 เหรียญ

วันศุกร์กองทุน SPDR ขายทองออก 7.12 ตัน ปัจจุบันเหลือการถือครองที่ 1,182.7 ตัน

หัวหน้าฝ่ายซื้อขายอนุพันธ์โลหะมีค่าจาก BMO กล่าวว่า หลังราคาปรับขึ้น 4 วันทำการ ก็เกิดแรงเทขายที่ระดับสำคัญทางเทคนิค 1,850 เหรียญ ประกอบกับราคาตอบรับข่าวจ้างงานสหรัฐฯจึงเกิดแรงขายเข้ามา และนักลงทุนมีการรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว แต่ภาพรวมแรงเทขายที่เกิดดูจะมาจากฝั่งกองทุน

นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered วิเคราะห์ว่า ราคาทองระยะสั้นเข้าสู่สภาวะสะสมพลัง ขณะที่ตลาดมีปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนให้ทองขึ้นได้ต่อ คือ

- การอ่อนค่าของดอลลาร์

- อัตราดอกเบี้ยติดลบ

- กังวลเงินเฟ้อ

- คาดการณ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คู่กับการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน

ราคาแพลทินัมปิด +2.6% ที่ 1,056.03 เหรียญ และปิดสัปดาห์ดีที่สุดตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค.

ราคาซิลเวอร์ทรงตัวที่ 24.06 เหรียญ

ราคาพลาเดียมปิด +2% ที่ 2,347.57 เหรียญ


ทองคำปรับขึ้นกว่า 1% จากความหวังมาตรการกระตุ้นเศรฐกิจสหรัฐฯ


· เมื่อคืนนี้ราคาทองคำปิดปรับตัวขึ้นได้กว่า 1% และทำสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ได้ เพราะได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์รอบใหม่เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ


· ราคาทองคำตลาดโลกปิด +1.3% ที่ 1,860.49 เหรียญ หลังจากที่ขึ้นไปทำสูงสุดนับตั้งแต่ 23 พ.ย. บริเวณ 1,868.25 เหรียญ


· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด +1.4% ที่ 1,866 เหรียญ


· ราคาทองคำฟื้นตัวกลับได้กว่า 5% นับตั้งแต่ที่ลงไปทำต่ำสุดรอบ 5 เดือนในวันที่ 30 พ.ย. แต่ทองคำปีนี้ปรับขึ้นได้ 22% จากสภาวะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อท่ามกลางการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในปี 2020


· กองทุน SPDR เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทำการเทขายทองคำออก 7.12 ตัน และเมื่อวานนี้เทขายออกอีก 2.92 ตัน รวม 2 วันขายสุทธิ 10.04 ตัน ปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,179.78 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยภาพรวมมีสถานะซื้อสุทธิลดลงจาก 300 ตันมาสู่ระดับที่ 286.53 ตัน


· นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Kitco Metals กล่าวว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯดูจะช่วยสร้างเสถียรภาพมากขึ้นให้แก่ตลาดทองคำ เนื่องจากต้องมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มที่จะนำมาซึ่งภาวะเงินเฟ้อ


· ภาพรวมแม้สภาคองเกรสจะยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ แต่ภาพรวมคาดไม่นานเกินรอที่น่าจะเห็นการผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9.08 แสนล้านเหรียญ


· นักลงทุนยังให้ความสำคัญกับเรื่องที่เศรษฐกิจสหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรการเดินทางเจ้าหน้าที่จีน 14 ราย ในข้อหาในการมีส่วนร่วมในการตัดสิทธิสมาชิกฝ่ายค้านที่มาจากการเลือกตั้งในฮ่องกง


· นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์จาก TD Securities กล่าวว่า ราคาทองคำยังแข็งแกร่งจากปัจจัยต่างๆ และการปรับตัวลงของราคาที่ช่วยหนุนให้เกิดแรงซื้อกลับสู่ตลาดอีกครั้ง


· อังกฤษจะกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ได้รับวัคซีน Covid-19 จากบริษัท Pfizer-BioNTech ในสัปดาห์นี้


· นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มองภาพทางเทคนิคของราคาทองคำที่แนว 1,850 เหรียญเป็นหลัก เนื่องจากหากผ่านไปได้มีโอกาสเห็นราคาทองคำขึ้นได้ต่อ


· ราคาแพลทินัมปิด -2.1% ที่ 1,031.92 เหรียญ หลังจากที่ช่วงต้นตลาดปรับลงกว่า 4.8%

· ราคาซิลเวอร์ปิด +1.5% ที่ 24.53 เหรียญ

· ราคาพลาเดียมปิด -0.3% ที่ 2,336.13 เหรียญ


· บรรดานักวิเคราะห์คาดปี 2021 อ่อนค่าต่อ จากกลุ่มนักลงทุนที่หันกลับสินทรัพย์เสี่ยง โดยดัชนีดอลลาร์ปีนี้อ่อนค่าแล้ว 6% โดยเดือนมี.ค. แข็งมากสุดเหนือ 102 จุด ท่ามกลางการระบาดทั่วโลกที่ทำให้นักลงทุนถือดอลลาร์ในฐานะ Safe Haven


· คองเกรสซื้อเวลา ขยายงบค่าใช้จ่ายภาครัฐฯ 1 สัปดาห์ เพื่อเจรจาข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจ-เลี่ยง Shutdown

รายงานจาก CNBC ระบุว่าทางสภาคองเกรสดูตั้งใจที่จะขยายเวลากองทุนสำหรับรัฐบาลออกไป 1 สัปดาห์ เพื่อพยายามตกลงให้เกิดงบสำหรับร่างกฎหมาย 2 ฉบับ ทั้งค่าใช้จ่ายรัฐบาลและแพ็คเกจ Covid-19

นายสเตนีย์ โฮเยอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร และนายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภากล่าวย้ำถึงการที่ สภาผู้แทนราษฎร สหรัฐฯมีแผนจะโหวตมาตรการระยะสั้นเพื่อให้รัฐบาลยังเปิดทำการได้ถึง 18 ธ.ค. นี้

สำนักข่าว Politico เผยถึงแผนที่ทั้งสองฝ่ายจะขยายค่าใช้จ่ายภาครัฐฯออกไป 1 สัปดาห์ เป็นที่แรก ซึ่งหากไม่สามารอนุมัติค่าใช้จ่ายรัฐบาลร่วมกันได้ ในวันเสาร์ที่ 11 ธ.ค. นี้ จะส่งผลให้รัฐบาลเผชิญกับภาวะ Shutdown

การตัดสินใจซื้อเวลาของทั้งสองฝ่าย ดูจะช่วยเร่งให้เกิดข้อตกลงร่วมกันได้โดยเร็วขึ้นสำหรับการจัดสรรแผนทั้งในส่วนงบภาครัฐฯ และแพ็คเกจที่ช่วยสนับสนุนระบบดูแลสุขภาพและเศรษฐกิจ ท่ามกลางยอดติดเชื้อ Covid-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกดดันการรักษาของตามโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ


· คองเกรสเสี่ยงเผชิญ Shutdown ช่วงคริสต์มาส จากทรัมป์กดดันกฎหมายเทคโนโลยีและกลาโหม

สภาคองเกรสยังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญ Shutdown ได้ในช่วงคริสต์มาสนี้ หากมีการอนุมัติเรื่องที่ไม่จำเป็นจากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่จะใช้สิทธิ Veto ตัดงบประมาณด้านความมั่นคง 7.4 แสนล้านเหรียญ หากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯไม่ยกเลิกกฎหมายปกป้องบริษัทเทคโนโลยี อาทิ Alphabet Inc ของกูเกิล, Twitter Inc และ Facebook Inc ที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจากแพลทฟอร์มของบริษัทพวกเขา


· CEO ของ ANZ กล่าวว่า ภาคธุรกิจขนาดเล็กดูจะเผชิญแรงตึงเครียดในระบบการเงินมากขึ้นช่วง Covid-19 จึงอาจส่งผลให้กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก และบริษัทขนาดกลางบางแห่งอารจต้อง “ปิดทำการ” ลงได้ ดังนั้น การได้รับการช่วยเหลือทางการเงินในปัจจุบัน จึงอาจช่วยเหลือภาคธุรกิจเหล่านี้ได้


· “V Day” หรือ Vaccine Day จะเกิดขึ้นแล้ว
อังกฤษเตรียมแจกจ่ายวัคซีน Covid-19 ให้แก่สาธารณชนในวันนี้


· Pfizer และ Moderna ปฏิเสธคำเชิญทำเนียบขาวในการประชุม “Vaccine Summit”

บริษัทผลิตวัคซีน Pfizer และ Moderna ปฏิเสธคำเชิญของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเข้าร่วมงาน “Vaccine Summit” ที่ทำเนียบขาว ในวันนี้

ซึ่งการประชุมในครั้งนี้จะมีขึ้นก่อนที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ จะพิจารณาและตรวจสอบ เกี่ยวกับวัคซีนของ Moderna และ Pfizer-BioNTech โดยที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธาน Mike Pence และผู้จัดจำหน่ายยาภาคเอกชนร้านขายยาและ บริษัท โลจิสติกส์เช่น McKesson, Walgreens Boots Alliance, CVS Health, United Parcel Service และ FedEx ก็เข้าร่วมด้วย


· “ทรัมป์” ยึดนโยบาย “America First” เตรียมลงนามข้อตกลงวัคซีน Covid-19 เพื่อให้ชาวอเมริกาได้ใช้งานเป็นกลุ่มแรก คาดจะเกิดการลงนามคำสั่งฉุกเฉินในวันนี้ ที่จะเป็นการส่งเรื่องตรงแก่หน่วยงานต่างๆของสหรัฐฯให้คำนึงถึงชาวอเมริการและสามารถส่งมอบวัคซีนให้แก่ประชาชนได้ทั่วทุกพื้นที่


· CORONAVIRUS UPDATES:


ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาล่าสุดใกล้ทะลุ 68 ล้านราย ล่าสุดสะสมทั่วโลกรวมอยู่ที่ 67.90 ล้านราย โดยมีการเพิ่มขึ้นประมาณ 502,000 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมทั่วโลกแตะ 1.54 ล้านราย

ยอดติดเชื้อในสหรัฐฯยังเพิ่มขึ้นอย่างหนัก ล่าสุดสะสมที่ 15.35 ล้านราย หรือเพิ่มขึ้นรายวันกว่า 181,000 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมทะลุ 290,000 รายเป็นที่เรียบร้อย


· รัฐนิวยอร์กอาจสั่งปิดร้านอาหารสัปดาห์นี้ โดยผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กกำลังพิจารณาจะสั่งปิดร้านอาหารและสถานที่หลักหลายแห่งหากแนวโน้มยอดติเชื้อจากสถานพยาบาลยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และจะใช้เลือกใช้มาตรการคุมเข้มเพิ่มขึ้นหากจำเป็น

ทั้งนี้ ผู้ว่าการฯคนดังกล่าวจะพิจารณาจากข้อมูลอัตราเฉลี่ยช่วง 7 วันของโรงพยาบาล หากคาดการณ์ที่ออกมาสูงกว่า 90% ในช่วง 3 สัปดาห์ ก็จะสั่ง Shutdown รัฐนิวยอร์ก


· CEO จาก Stobart Group กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวจำเป็นต้องกลับมาเปิดทำการให้ได้ภายในเม.ย.นี้ไม่อย่างนั้นสายการบินบางแห่งอาจปิดกิจการไป


· กระทรวงศึกษาธิการขยายเวลาการชำระเงินกู้ยืมการศึกษาให้ชะลอออกไปสำหรับผู้อยู่ในโครงการ 42 ล้านรายช่วง Covid-19


· FDA อาจอนุมัติวัคซีนของ Pfizer สัปดาห์นี้ ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง


· เจรจา Brexit บรรลุข้อตกลงหลักได้ แต่อังกฤษมองว่าโอกาสเกิดข้อตกลงการค้ายังปราศจากความชัดเจนว่าจะจบลงอย่างไร จึงยิ่งสร้างความกังวลเพิ่มขึ้นว่าท้ายที่สุดการเจรจานี้อาจจบลงโดยไร้ข้อตกลง


· นายกฯอังกฤษ เดินทางไปยังกรุงบรัสเซล เพื่อผลักดันข้อตกลงการค้า Post-Brexit ขั้นสุดท้าย

นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีแพลนจะเข้าพบกับนางเออซูบาร์ วง เดอ เลอยอน ประธานคณะกรรมาธิการอียู หลังการเจรจาระหว่าง 2 ผู้นำทางโทรศัพท์ประสบความล้มเหลว


· สหรัฐฯ ยุติโครงการแลกเปลี่ยนกับจีน โดยมองว่า “จีนนำมาใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ทางอ้อม” จำนวน 5 โครงการแลกเปลี่ยน ที่เกี่ยวกับด้านการศึกษา, ความสัมพันธ์และวัฒนธรรม ดังนี้

- The Policymakers Educational China Trip Program,

- The U.S.-China Friendship Program

- The U.S.-China Leadership Exchange Program

- The U.S.-China Transpacific Exchange Program

- Hong Kong Educational and Cultural Program.

อย่างไรก็ดี สถานทูตจีนในสหรัฐฯ ไม่มีข้อความตอบโต้ใดๆถึงกรณีดังกล่าว

ขณะที่การถอนโครงการแลกเปลี่ยนจากกระทรวงการต่างประเทศจะทำได้ทีละโครงการ จึงคาดว่าไม่น่าจะทำได้สำเร็จครบทุกโครงการในทันที


· สหรัฐฯสั่งคว่ำบาตารเจ้าหน้าที่จีน 14 รายที่แทรกแซงฮ่องกง

· รัฐจอร์เจีย ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยัน “ไบเดน” ชนะ

· ไบเดน จะเปิดเผยทีม Covid-19 คนสำคัญในการรับมือ, แผนต่างๆ ในสัปดาห์นี้

· วันศุกร์ นายไบเดน จะประกาศผู้ถูกเลือกมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ


· นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสำหรับสัปดาห์นี้ไว้ที่ระหว่าง 30.00-30.40 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยประเมินปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการดูแลเงินบาทระยะที่ 2 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ ปัจจัยทางการเมืองและสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ สำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิต จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) สำหรับเดือนธ.ค. นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป และการประชุม EU Summit และข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนพ.ย. ด้วยเช่นกัน

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค แต่สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัย โดยเงินดอลลาร์ฯเผชิญแรงขายท่ามกลางความหวังต่อการใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ประกอบกับมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่องที่สะท้อนจากถ้อยแถลงของประธานเฟด ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น การจ้างงานภาคเอกชนและดัชนี ISM ภาคบริการเดือนพ.ย. ที่ออกมาดีน้อยกว่าที่ตลาดคาดก็เป็นปัจจัยกดดันเงินดอลลาร์ฯด้วยเช่นกัน


· อ้างอิงจากสำนักข่าวโพสทูเดย์

- รัฐเดินหน้าเศรษฐกิจปีหน้าโต 4% มั่นใจเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่แย่สุดในอาเซียน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยภายหลังการมาตรวจเยี่ยมกระทรวงการคลัง ว่า ได้มาเยี่ยมและขอบคุณผู้บริหารกระทรวงการคลังที่ช่วยดูแลการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ล่าสุดเดือน ธ.ค. 63 มีการคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวติดลบเหลือ 6-7% จากเดิมที่มีการคาดกันว่าจะติดลบ 9-10% ไม่ได้แย่ที่สุดในประเทศอาเซียนมีประเทศอื่นในอาเซียนที่เศรษฐกิจขยายตัวติดลบมากกว่าประเทศไทย

นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับเครดิต ก็ยังคงเครดิตของประเทศไทยไว้เท่าเดิมที่ระดับน่าลงทุน และมุมมองอย่างแบบมีเสถียรภาพเหมือนเดิมเช่นกัน

· ไทยพบติดเชื้อ Covid-19 เพิ่ม 21 ราย อยู่ใน State Quarantine

"ศูนย์ข้อมูล COVID-19" รายงาน "ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19" วันนี้ ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 21 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 4,107 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 60 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,868 ราย



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com