นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ เรียกงบประมาณช่วยเหลือไวรัส Covid-19 วงเงิน 9.08 แสนล้านเหรียญว่าเป็น “เงินดาวน์” ของสภาคองเกรสเพื่อไปสู่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าในปีหน้า
ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ทางการเมือง มองว่า หากมาตรการฉบับนี้ผ่าน ก็จะช่วยให้ภาคธุรกิจในสหรัฐฯทั้งหมด รวมทั้งผู้ทำงานได้รับเงินช่วยเหลือก้อนนี้ด้วยกัน
กรรมการผู้จัดการจาก Eurasia Group ด้านที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมือง ระบุว่า มีแนวโน้มค่อนข้างน้อยที่ทางพรรครีพับลิกันจะให้การสนับสนุนงบประมาณรอบ 2 วงเงิน 1 ล้านล้านเหรียญ หลังจากที่นายไบเดนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า เพราะยังเป็นเรื่องยากมากกว่าเดิมจากการที่ “รีพับลิกัน” ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาต่อ
และหากพวกเขาบรรลุข้อตกลงร่วมกันฉบับเต็มในวงเงิน 9 แสนล้านเหรียญ ก็คิดว่า “มากพอ” ที่จะดำเนินการใหม่ๆได้หลังจากที่ “นายไบเดน” รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ และการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมีความเป็นไปได้ทางเดียว นั่นคือ
- วัคซีนไม่สามารถแพร่กระจายได้อย่างราบรื่น
- เศรษฐกิจยังคงอ่อนแอต่อจนถึงปี 2021
- ภาคครัวเรือน, กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก และรัฐบาลท้องถิ่นยังได้รับผลกระทบจากวัคซีนจำนวนน้อยและเศรษฐกิจอ่อนแอ
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าพรรคเดโมแครตจะสามารถคว้าเก้าอี้สมาชิกวุฒิสภาจากชัยชนะในรัฐจอร์เจียได้ แต่ก็ยังไม่สามารถได้ครองเสียงข้างมากและยังมีคะแนนโหวตได้ไม่ถึง 60 คะแนนที่เป็นคะแนนเสียงที่จำเป็นในการผลักดันร่างกฎหมายค่าใช้จ่ายหลักๆ ได้
ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภาคาดหวังว่าการเผยแผนช่วยเหลือ 9.08 แสนล้านเหรียญจะได้รับมติเห็นชอบเร็วที่สุดเมื่อวานนี้ แต่การเจรจาก็ยังสะดุดและยังมีข้อแตกต่างในเรื่อง
- การให้ความช่วยเหลือ “รัฐต่างๆ” และ “รัฐบาลท้องถิ่น”
- “การจัดสรรงประมาณเพื่อปกป้องภาคธุรกิจ”
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Moody’s Analytics กล่าวว่า สมาชิกสภาคองเกรสกำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันในการผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเวลานี้ เพราะหากไม่ยอมรับร่างดังกล่าว เศรษฐกิจก็อาจดิ่งลึกและจะนำมาซึ่งปัญหาเชิงลบทางการเมืองอย่างมาก
“การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ” เป็นสิ่งที่จะทำให้สภาคองเกรสตัดสินใจผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศษฐกิจ และมองว่ามีโอกาสน้อยที่จะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มหลังนายไบเดน เข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค. หากผลที่ตามมา ตลอดระยะเวลา 3 ปีเต็ม หรือช่วงสิ้นสุด 2023 สหรัฐฯอาจฟื้นคืนภาวะสูญเสียแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ Covid-19 ในปีนี้ได้
ในทางตรงกันข้าม ต้องใช้ระยะเวลา 8 ปี จึงจะสามารถฟื้นคืนการจ้างงานที่จากยุค Great Recession ในปี 2008-2009 ซึ่งส่วนหนึ่งที่ใช้ระยะเวลานานมาจากการที่สภาคองเกรสถอนมาตรการกระตุ้นทางการเงินก่อนกำหนด
ในยุค “ทรัมป์” บริหารงาน จะเห็นได้ว่ามียอดขาดดุลงบประมาณเกือบเท่าตัวแตะ 1 ล้านล้านเหรียญ ก่อน Covid-19 ระบาด และทำให้นโยบายกลับสู่ข้อจำกัดทางการเงินมากขึ้นในช่วงกลางของการระบาด
ผู้อำนวยการด้านการศึกษานโยบายเศรษฐกิจจากสถาบัน American Enterprise Institute มองว่า การแพร่กระจายวัคซีน Covid-19 ถูกคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (1 มี.ค. – 31 พ.ค.) และจะทำให้บรรดาสมาชิกรีพับลิกันต้องให้การสนับสนุนแบบ “ไม่เต็มใจ” สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
หลายๆคนต้องการที่จะ “รอดูก่อน” ในเชิงกลยุทธ์ “ Wait&See” ว่า วัคซีนจะได้ผล และ เศรษฐกิจจะฟื้นตัวหรือไม่ และถึงแม้เดโมแครตจะเสียเก้าอี้ในวุฒิสภา แต่ก็น่าจได้รับชัยชนะการผลักดันงบประมาณจากกรณีข้างต้น
อย่างไรก็ดี ส่วนตัว คาดว่า น่าจะยังเป็นเรื่องยากในการผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในเดือนก.พ.นี้ ท่ามกลางสมาชิกพรรคเดโมแครตที่ต้องการข้อตกลงที่ดีกว่าหลังจากที่นายไบเดนเข้ารับตำแหน่ง และนี่อาจเป็นสัญญาณการดำเนินการที่ “ผิดพลาด” ได้
ที่มา: Reuters