• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 10 ธันวาคม 2563

    10 ธันวาคม 2563 | Economic News
 

·         ปอนด์อ่อนค่าลงจาก Brexit ที่ยังตกลงไม่ได้หลังจากที่บรรดาผู้นำพบกัน

ปอนด์อ่อนค่าลง -0.5% แถว 1.3345 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังไปทำอ่อนค่ามากสุดวานนี้ที่ 1.3311 ดอลลาร์/ปอนด์   หลังจากที่วานนี้มีการพบกันของนายกฯอังกฤษ และคณะกรรมาธิการอียู โดยเห็นพ้องกันที่จะตัดสินใจอนาคตข้อตกลงการค้า Brexit ในวันอาทิตย์นี้ โดยทั้งสองฝ่ายแม้จะยังตกลงกันไม่ได้ แต่ก็มีการพูดคุยกันไปในทิศางที่ดี

ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษเตือนการประสบภาวะ No-Deal Brexit จะสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่า Covid-19

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 91.029 จุด หลังทำอ่อนค่ามากสุดรอบ 2 ปีครึ่งที่ 90.471 จุด

เยนทรงตัวที่ 104.28 เยน/ดอลลาร์

ยูโรอ่อนค่าลงแตะ 1.2082 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ปรับลง 4 วันทำการ หลังวันศุกร์ที่แล้วทำแข็งค่ามากสุดที่ 1.2177 ดอลลาร์/ยูโร

นอกจากนี้ ค่าเงินยูโรถูกจำกัด จากกนักลงทุนที่รอประชุมอีซีบี แม้มีคาดการณ์ว่าอีซีบีมีแนวโน้มจะขยายมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อไป ในการประชุมวันนี้

สัปดาห์ที่แล้ว นางคริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี กล่าวค่อนข้างชัดเจนว่าจำเป็นต้องใช้โครงการ PEPP ครั้งใหญ่ และเพิ่มการสนับสนุนเงินกู้ระยะยาวแก่บรรดาภคธนาคาร

ค่าเงินออสเตรเลียอ่อนค่าเล็กน้อยหลังทำแข็งค่ารอบ 2 ปีครึ่งที่ 0.7485 ขณะที่หยวนทรงตัวต่ำกว่าแข็งค่ามากสุดที่ทำไว้รอบ 2 ปีครึ่งที่ระดับ 6.5279 หยวน/ดอลลาร์

Bitcoin ปิด +1.7% ที่ 18,622 เหรียญ

 

·         EUR/USD Forecast: ค่าเงินยูโรปรับฐานสู่ภาวะขาลงก่อนทราบถ้อยแถลงอีซีบี

ดอลลาร์แข็งค่าตั้งแต่ช่วงค่ำวันนี้ หลังเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยงปรับลง

ประชุมอีซีบีวันนี้  คาดเห็นยูโรผันผวน





นักวิเคราะห์จาก FXStreet ระบุว่า ยูโร Break หลุดต่ำกว่า 1.2100 ดอลลาร์/ยูโร โดยค่าเงินปรับอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วหลังหลุดต่ำกว่าระดับดังกล่าว ก็กลับมาทดสอบต่ำสุดรอบสัปดาห์ที่ 1.2057 ดอลลาร์/ยูโร จากความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยงที่แย่ลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับขึ้นช่วหนุนดอลลาร์


ภาพรวมดัชนีมาตรวัดความผันผวนหรือ 
VIX ของสหรัฐฯยังคงอยู่ระดับต่ำ ขณะที่ภาพรวมตาดให้ความสนใจกับการปราศจากข้อตกลงของอังกฤษและอียู และคาดการณ์ที่มีอย่างจำกัดเกี่ยวกับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของสหรัฐฯ

เหตุการณ์สำคัญในวันนี้ คือ "ประชุมอีซีบี" ที่ถูกคาดว่าอาจเห็นประธานอีซีบีมีแนวโน้มจะสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดได้ ขณะที่ "ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์" และ "เงินเฟ้อ" ของสหรัฐฯก็เป็นอีกสิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญ


วิเคราะห์ค่าเงินยูโรระยะสั้น

ค่าเงินยูโรจะมีแนวรับบริเวณ 1.2060  ดอลลาร์/ยูโร และมีแนวโน้มกลับมาสะสมพลัง ซึ่งยูโรจำเป็นต้องแข็งค่ากลับไปเหนือ 1.2115 ดอลลาร์/ยูโร และจะมีแนวต้านสำคัญในระยะสั้นๆที่ 1.2150 ดอลลาร์/ยูโร


ภาพทางเทคนิคจะเห็นได้ถึงการปรับตัวลดลงในกราฟราย 
4 ชั่วโมง จากที่มีการปรับฐานระดับล่างในวันนี้ ซึ่งหากหลุดแนวรับข้างต้น จะมีแนวรับสำคัญที่ 1.2000 และ 1.1960 ดอลลาร์/ยูโร

แต่หากค่าเงินยืนได้เหนือจุดที่ร่วงลงมาอีกครั้งที่ระดับ 
1.2150 ดอลลาร์/ยูโร ก็จะส่งผลให้เกิดภาพการสะสมพลังและเป็นผลบวกต่อค่าเงินยูโร


แนวรับสำคัญ: 
1.2040  /   1.2000  /   1.1960

แนวต้านสำคัญ: 1.2095   /   1.2135   /   1.2155

 

·         รัฐบาลสหรัฐยื่นฟ้อง "เฟซบุ๊ก" ฐานผูกขาดตลาดโซเชียลมีเดีย เล็งบีบขาย "อินสตาแกรม-วอทส์แอป"

คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (
FTC) และรัฐต่างๆในสหรัฐอีกกว่า 10 แห่ง ได้ยื่นฟ้องบริษัทเฟซบุ๊ก อิงค์ ในข้อหาผูกขาดตลาดโซเชียลมีเดีย ด้วยการเข้าซื้อกิจการอินสตาแกรม และวอทส์แอป ซึ่งถือเป็นการลดโอกาสในการแข่งขันของบริษัทคู่แข่งรายอื่น

 

·         จีดีพีอังกฤษโตช้าลงในเดือนต.ค. จาก Covid-19 ที่กระทบภาคบริกา โดยล่าสุดขยายตัวได้เพียง 0.4% เมื่อเทียบรายเดือนจาก 1.1% ในเดือนก.ย.

ทางด้านยอดติดเชื้อ Covid-19  เสียชีวิตสะสมสูงกว่า 62,000 ราย และถือเป็นการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และจีดีพีไตรมาสที่ 2/2020 หดตัวไปกว่า -19.8% ขณะที่ภาวะ Lockdown  กลับมาอีกครั้งในเดือนก.ย.

 

·         ผู้นำอังกฤษ และ EU กำหนดเส้นตาย "วันอาทิตย์นี้" เป็นวันสุดท้ายของการเจรจา Brexit หลังจากการประชุมล้มเหลวจนหยุดชะงัก

อังกฤษจะออกจาก EU ในเดือนมกราคม แต่ตกลงที่จะรักษามาตรฐานและกฎระเบียบเดียวกันจนถึงสิ้นปี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจะมีเวลาในการพัฒนาข้อตกลงการค้าใหม่

อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงนี้จะสิ้นสุดในสามสัปดาห์และมีความกังวลอย่างมากว่าพวกเขาจะไม่มีข้อตกลงใหม่เกิดขึ้น

 

·         อังกฤษ ลงนาม ข้อตกลงการค้าเสรี กับสิงคโปร์ ขณะเดียวกันเตรียมสิ้นสุดข้อตกลง Brexit กับ EU

อังกฤษ ลงนามสัญญาการค้าเสรีกับสิงคโปร์ ในฐานะกองกำลังการค้าสำคัญที่จะเกิดใหม่ ซึ่
เป็นข้อตกลงล่าสุดทั่วโลก ในขณะเดียวกันก็เตรียมยุติการถอนตัวออกจาก 
EU ในวันที่ 31 ธันวาคม 

 

·         โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เผย จีนจะทำการถอนวีซ่าพิเศษสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตสหรัฐฯ ที่มาเยือนฮ่องกง-มาเก๊า

เพื่อเป็นมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ที่ประกาศคว่ำบาตรชาวจีนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรรัฐบาลและครอบครัวของพวกเขา รวมทั้งการเลือกดำเนินการอื่นๆในฮ่องกง

มาตรการจีนมีขึ้น หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงิน และคำสั่งห้ามเดินทางสำหรับเจ้าหน้าที่จีน 14 คน ผู้ซึ่งมีบทบาทของในการนำกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติมาใช้เพื่อการตัดสิทธิของฮ่องกงและปักกิ่งในเดือนที่ผ่านมาของการเลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติฝ่ายค้านในฮ่องกง

 

·         จีนคว่ำบาตรไวน์ออสเตรเลียชั่วคราว เริ่มมาตรการขึ้นภาษี 11 ธ.ค. นี้

จีนจะเริ่มมาตรการขึ้นภาษีไวน์นำเข้าจากออสเตรเลียจากระดับ 107.1% เป็น 212.1% เริ่ม 11 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะเพิ่มแรงกดกดดันให้แก่ภาคอุตสาหกรรมที่เผชิญกับภาวะตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศ

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการนำเข้าไวน์จะถูกตรวจสอบเพื่อพิจารณาว่า หากมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับออสเตรเลีย จะต้องจ่ายเงินมัดจำให้กับหน่วยงานศุลกากรของจีน

 

·         ญี่พบผู้ติดเชื้อโควิดวันเดียว 602 ราย สูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำนักงานสาธารณสุขของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 602 รายในกรุงโตเกียววันนี้ ซึ่งเป็นสถิติรายวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อในกรุงโตเกียวพุ่งขึ้นเป็น 45,529 ราย

รัฐบาลกรุงโตเกียวได้ยกระดับเตือนภัยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สู่ระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด พร้อมกับเรียกร้องให้บรรดาร้านอาหารที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปิดการบริการในเวลา 22.00 น.จนถึงวันที่ 17 ธ.ค.นี้ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

 

·         น้ำมันดิบปรับขึ้นจากข่าววัคซีน COVID-19 - ตลาดกังวลเกี่ยวกับการโจมตีบ่อน้ำมันของอิรัก

ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นในวันนี้โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวใช้วัคซีน  COVID-19 ในอังกฤษและการอนุมัติที่ใกล้เข้ามาของสหรัฐฯซึ่งอาจกระตุ้นความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่สต็อกน้ำมันดิบจำนวนมากของสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันการปรับขึ้นของราคาน้ำมันอยู่

 

น้ำมันดิบ WTI ปรับเพิ่มขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.3% ที่ระดับ 45.66 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 12 เซนต์ หรือ 0.3% ที่ระดับ 48.98 เหรียญ/บาร์เรล โดยราคามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากระดับปิดเมื่อคืนที่ผ่านมา

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com