ทองคำอ่อนตัว แม้ข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการสหรัฐฯแย่กว่าคาด
· ราคาทองคำอ่อนตัวลงหลังจากที่หลุด 1,850 เหรียญลงมา ส่งผลให้เกิดแรงเทขายทางเทคนิคตามมา ประกอบกับแนวโนมวัคซีนส่วนใหญ่ที่เป็นไปในเชิงบวก จึงทำให้นักลงทุนไม่ได้ตอบรับมากนักกับข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯ
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด -0.4% ที่ 1,832.20 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด -0.1% ที่ระดับ 1,837.40 เหรียญ
· กองทุน SPDR ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม ปัจจุบันถือครองที่ระดับ 1,179.78 ตันมาเป็นระยะเวลา 4 วันทำการ
· หัวหน้านักวิเคราะห์จาก BMO มองว่า หลังทองคำล้มเหลวในการยืนเหนือ 1,850 เหรียญ ก็เกิดแรงเทขายทำกำไรตามมาและมีการย้ายเม็ดเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆมากขึ้น แม้ข้อมูลว่างงานสหรัฐฯจะออกมาแย่กว่าที่คาดอันเป็นผลจากยอดติดเชื้อและการ Lockdown แต่ก็ช่วยหนุนให้ทองคำปรับขึ้นได้เพียงระยะสั้นๆเท่านั้น
· ขณะที่อีซีบีตัดสินใจผ่อนคลายทางการเงินอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ช่วยหนุนราคาทองคำมากนัก โดยนักวิเคราะห์อาวุโสจาก OANDA มองว่าตลาดผิดหวังที่อีซีบีไม่ได้ขยายเวลาออกไป 12 เดือนตามคาดแต่ขยายไปเพียง 9 เดือน
นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังมีแรงกดดันจากนักลงทุนที่มีท่าที่ระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เราจึงเห็นการลดค่าเงิน แต่การซื้อขายในเวลานี้ยังไม่ถือว่าเป็นระดับที่มั่นคง
· ราคาซิลเวอร์ปิดปรับขึ้น 0.2% ที่ 23.96 เหรียญ
· ราคาแพลทินัมปิด +2.4% ที่ 1,024.87 เหรียญ
· ราคาพลาเดียมปิด +3% ที่ 2,333 เหรียญ
· แมคคอนเนลปฏิเสธแผน Covid-19 – งบประมาณทำเนียบขาวถูกเลื่อนลงมติจนถึงสัปดาห์หน้า
สัญญาณเจรจาการกระตุ้นมาตรการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังมีอยู่ไม่มากนัก ท่ามกลางจำนวนประชาชนนับล้านๆรายที่รอการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล
ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวว่า การเจรจาอาจเลื่อนไปน้อยที่สุดเพียงวันอังคารหน้าเท่านั้นสำหรับการรอคอยให้เกิดข้อตกลงการช่วยเหลือช่วง Covid-19 รวมถึงงบประมาณรัฐบาลฉบับเต็มปี
· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาทะลุ 70 ล้านราย ปัจจุบันแตะ 70.67 ล้านราย โดยมียอดติดเชื้อรายวันทั่วโลกใหม่เพิ่มขึ้น 654,465 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตสะสม 1.58 ล้านราย
ยอดติดเชื้อไวรัสใหม่ในสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 198,325 รายวานนี้ ส่งผลให้ยอดสะสมภายในประเทศพุ่งทะลุ 16 ล้านรายเป็นที่เรียบร้อย และยอดเสียชีวิตสะสมในสหรัฐฯ เข้าใกล้ 3 แสนราย ล่าสุดอยู่ที่ 299,571 ราย
· คณะกรรมาธิการองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) แนะการอนุมัติวัคซีน Pfizer จะมีขึ้นเพื่อใช้เป็นกรณีฉุกเฉินเท่านั้น สำหรับผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป
ซึ่ง ณ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาขั้นสุดท้ายก่อนอนุมัติให้เกิดการใช้งานวัคซีนโดสแรกในสหรัฐฯ ซึ่งหาก FDA ยอมรับวัคซีนร่วมกับคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์ไบโอโลจิคอลและวัคซีนได้ ก็คาดว่าน่าจะสามารถส่งมอบวัคซีนในช่วงวิกฤตนี้ได้
· อีซีบีขยายโครงการซื้อพันธบัตร จากยอดติดเชื้อ Covid-19 พุ่งกดดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
สรุปประชุมอีซีบี:
- เพิ่มวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรอีก 5 แสนล้านยูโร (6.05 แสนล้านเหรียญ) รวมสู่ระดับ 1.85 ล้านล้านยูโรภายใต้โครงการ PEPP
- อีซีบีขยายโครงการ PEPP ออกไปถึงเดือนมี.ค.ปี 2022 ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ที่ครบกำหนดหรือ Reinvestments of assets maturing จะขยายระยะเวลาออกไปจนถึงสิ้นปี 2023
- คงนโยบายดอกเบี้ย
ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ (Refinancing Operations) 0.00%
ดอกเบี้ยเงินกู้ (Margin Lending Facility) 0.25%
ดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit Facility) -0.50%
ภาพรวม Second Wave ส่งผลเกิดการใช้มาตรการ Lockdown จึงสร้างแรงกดดันต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยูโรโซน และคาดว่าอีซีบีจะตัดสินใจใช้ QE ต่อไปจนกว่าวิกฤตไวรัสจะจบลง และเงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงบขึ้นใกล้ระดับเป้าหมายแม้จะต่ำกว่า 2% บ้างก็ตาม
มุมมองต่อยูโรแข็งค่า
อีซีบีจะจับตาด้วยความระมัดระวังต่อการแข็งค่าของค่าเงินยูโรเพื่อประเมินความเป็นไปได้ที่จะส่งผลแบบมีนัยสำคัญต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะกางหรือไม่
อีซีบีชี้ความไม่แน่นอนยังอยู่ในระดับสูง และคาดว่าจะใช้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับ TLTRO III ระยะยาวต่อไปอาจถึงมิ.ย. 2022
· บรรดาผู้นำอียูบรรลุข้อตกลงการอนุมัติจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือซึ่งเป็นแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง Covid-19 หลังฮังการีและโปแลนด์ถอนสิทธิ์วีโต้ ส่งผลให้เกิดกองทุนวงเงิน 7.50 แสนล้านยูโร (9.08 แสนล้านเหรียญ) ที่จะมาสนับสนุนตลาดสาธารณะต่างๆและสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของ 27 ประเทศสมาชิก พร้อมส่งสัญญาณงบประมาณปี 2021 – 2027 ด้วยวงเงินสูงถึง 1.074 ล้านล้านยูโร (1.3 ล้านล้านเหรียญ)
· บรรดานักวิเคราะห์เตือน Brexit จะย่ำแย่และโอกาสเกิดข้อตกลงการค้าน้อยลง
ท่ามกลางกำหนดเส้นตายเจรจารอบใหม่จะสิ้นสุดในวันอาทิตย์นี้
กรรมการผู้จัดการ Eurosia Group ลดโอกาสการเกิดข้อตกลงจาก 60% เหลือเพียง 55%
และถึงแม้จะเห็นความคืบหน้ามากขึ้นจากการเจรจาที่กำลังดำเนินต่อไป “แต่โอกาสที่จะเกิด No-Deal” มากขึ้น แม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่ต้องการก็ตาม
หนึ่งในแหล่งข่าวอังกฤษ เผย โอกาสคืบหน้าเท่ากับศูนย์ และนี่ “จะกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนโดยตรง”
· นายกฯอังกฤษย้ำความเป็นไปได้ที่มากขึ้นสำหรับโอกาสเกิด “No-Deal” จากการเข้มงวดทางการค้าของอียู
· ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นกว่าคาด หลังจากที่ลดลงช่วงเทศกาล Thanksgiving
โดยถือเป็นครั้งแรกที่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ออกมาเพิ่มขึ้น 853,000 ราย จากสัปดาห์ที่แล้ว 716,000 ราย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 137,000 รายในสัปดาห์ก่อน
ถือว่ายอดการเพิ่มขึ้นล่าสุดเป็นจำนวนที่มากที่สุดตั้งแต่ 19 ก.ย. สะท้อนว่าภาคแรงงานสหรัฐฯยังชะลอตัว ท่ามกลางไวรัสโคโรนาที่ส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นตัดสินใจใช้มาตรการเข้มงวดต่อบางกิจกรรมหรือภาคธุรกิจในประเทศ
ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องหรือ Continuing Claims เพิ่มขึ้นราว 230,000 ราย สู่ระดับ 5.76 ล้านราย นับเป็นครั้งแรกทีจำนวนดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่ลดลงไปตั้งแต่ปลายเดือนส.ค.
และตลาดการเงินส่วนใหญ่ ตอบรับเพียงเล็กน้อยต่อข้อมูลดังกล่าว
· CEO ของ Bank of America เผย ใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นในปี 2020 และมากกว่าปี 2019 โดยมีเม็ดเงินของกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบันทะลุ 2.7 ล้านล้านเหรียญ
แม้จะมีสัญญาณเชิงบวก แต่ก็ยัง “ต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่” ที่จำเป็นต้องสนับสนุนคนว่างงานและภาคธุรกิจขนาดเล็ก ท่ามกลางสภาคองเกรสที่ยังเจรจากันไม่สำเร็จเพื่อให้เกิดมาตรการเพิ่มเติมก่อนสิ้นปีนี้
· ไบเดน แต่งตั้ง แคทเธอลีน ไท นักวิจารณ์ชาวจีน ดำรงตำแหน่ง เจ้าหน้าที่การค้าชั้นนำสหรัฐฯ
นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่งตั้ง แคทเธอลีน ไท ทนายความการค้าที่มีประวัติเข้ายึดประเทศจีน ในฐานะประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่ใกล้เข้ามาถึง ไบเดน จึงแต่งตั้ง แคทเธอลีน ไท ดำรงตำแหน่ง ตัวแทนการค้าชั้นนำของสหรัฐฯ
หากได้รับการยืนยันจากวุฒิสภา แคทเธอลีน จะได้สืบทอดตำแหน่งสำคัญระดับคณะรัฐมนตรีซึ่งได้รับมอบหมายควบคุมการนำเข้าของสหรัฐฯให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับ และทำหน้าที่เจรจาเงื่อนไขการซื้อขายกับจีนและประเทศอื่น ๆ
แคทเธอลีน เป็นคนสัญชาติเอเชีย-อเมริกา และเป็นตัวแทน USTR ที่เป็นผู้หญิงไม่ใช่เชื้อชาติเอเมริกันคนแรกที่ดำรงตำแหน่ง นอกจากนี้แคทเธอลีนยังพูดจีนแมนดารินได้อย่างคล่องแคล่วด้วย
· เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ของ ทรัมป์ อ้าง “จีนเป็นภัยคุกคาม” ที่ต้องจัดการ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามที่จะกล่าวอ้างว่าประเทศจีนเป็นภัยคุกคามที่ต้องรีบจัดการ ซึ่งได้กล่าวในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ว่าที่นายไบเดนจะได้รับมอบตำแหน่งที่ทำเนียบขาว
นายโรเบิร์ต ไลท์เซอร์ ตัวแทนการค้าสหรัฐฯ เผย ความสำเร็จของนายทรัมป์ เมื่อสี่ปีที่ผ่านมา คือการมี “ประเด็นสำคัญ” กับจีน
ในขณะที่ นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตระหนักถึง ระบบการค้าที่อยู่นอกเหนือกฎ ซึ่งต้องมีการทบทวนถึงวัตถุประสงค์กันใหม่ ทั้งนี้ต้องตระหนักถึงเงื่อนไขการค้าที่มีกับจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตที่สุดในโลกขณะนี้ และเป็นระบบที่แตกต่างจากประเทศอื่น
อย่างไรก็ดี จีนยังเป็นภัยคุกคามทางทหารและเศรษฐกิจที่สำคัญในเอเชีย โดยที่นโยบายอุตสาหกรรมของจีนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อย่างเช่น การให้เงินอุดหนุน บริษัทของรัฐและบังคับให้โอนเทคโนโลยีของบริษัทไปยังหุ้นส่วนชาวจีน
· Fitch Ratings ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจจีนปี 2021 ที่ระดับ 8%
(คาดการณ์เดิมในเดือนก.ย. 7.7%) โดยประเมินจาก
- การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ
- การกระจายและส่งมอบวัคซีน
- ข้อมูลล่าสุดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงการอุปโภคบริโภคในจีนมีการฟื้นตัว โดยเฉพาะในหมวดภาคอุตสาหกรรม และกิจกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการรวมตัวทางสังคม
ภาพรวม Fitch Ratings ประเมินการขยายตัวไว้สูงกว่าคาดการณ์ระยะยาวของจีนที่ 5.5%
สำหรับปีนี้มองจีนโตได้ 2.3% หลังหดตัว -6.8% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 อันเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
นอกจากนี้ คาดเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2021 ท่ามกลางประชาชนที่ได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น
Fitch Ratings คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้หดตัวแตะ -3.7% แต่ดีขึ้นจากคาดการณ์ในเดือนก่อนหน้าที่ -4.4% ที่เคยประเมินไว้ในเดือนก.ย. ขณะที่ปี 2021 คาดจีดีพีโตได้ 5.3%
อย่างไรก็ดี ไม่คาดว่าจีนจะมีการลดการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ย เพราะจะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวลงและค่าเงินหยวนแข็งค่า
สถาบัน Nomura คาดจีดีพีโลกจะโตได้ 9% ในปี 2021 เมื่อเทียบกับปีนี้ที่น่าจะโตได้ 2.1%
Natixis คาดจีดีพีโลกปีหน้าจะโตได้ 7.8%
· ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ ระบุว่า นโยบายการเงินไม่ใช่ทางที่ดีที่สุดสำหรับใช้ชะลอตลาดที่อยู่อาศัย
· สหรัฐฯเตรียมคว่ำบาตรตุรกีเหนือระบบป้องกันรัสเซีย
ทั้งนี้การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินของตุรกี อ่อนค่าลงมากถึง 1.4% และอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของตุรกีที่ต้องดิ้นรนกับการชะลอตัวที่เกิดจากไวรัสโคโรนา อัตราเงินเฟ้อ และทุนสำรองระหว่างประเทศที่กำลังจะหมดลง
อย่างไรก็ดี ตุรกียินดีที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยการทูตและการเจรจา ตุรกีจะไม่ยอมรับการกระทำอยู่ฝ่ายเดียว