ทองคำขึ้นตอบรับความหวังกระตุ้นเศรษฐกิจหลังทราบผลประชุมเฟด
· ราคาทองคำปิดปรับตัวขึ้นจากความหวังจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงบวกหลังจากที่เฟดให้คำมั่นที่จะตรึงดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ถ้อยแถลงของประธานเฟดยังสะท้อนถึงการที่เศรษฐกิจจะต้องได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง ทั้งจากนโยบายการเงินและการกระตุ้นเศรษฐกิจของสภาคองเกรสและเฟดต่อไป
· ราคาทองคำตลาโลกปิด +0.5% ที่ 1,862.72 เหรียญ
· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด +0.2% ที่ 1,859.1 เหรียญ
· นักวิเคราะห์จาก BMO กล่าวว่า ถ้อยแถลงของนายโพเวลล์มีแรงกดดันให้ตลาดทองคำเผชิญแรงเทขาย เนื่องจากไม่มีสัญญาณว่าจะทำการขยายการสนับสนุนใดๆในเวลานี้ และค่อนข้างมองแนวโน้มเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังของปี 2021 เป็นไปในเชิงบวก แต่ก็ยังคงกังวลกับแนวโน้มในช่วง 4-5 เดือนจากนี้ จึงกดดันให้ทองคำปรับลงจากระดับสำคัญ 1,850 เหรียญ ก่อนจะดีดกลับขึ้นมาอีกครั้ง
· บรรดานักกฎหมายของสภาคองเกรส กล่าวถึงการ “เข้าใกล้” ข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านเหรียญที่อาจรวมถึงวงเงิน 600 – 700 เหรียญ ในการจ่ายเช็คและเป็นสวัสดิการสำหรับคนว่างงาน
· แม้ข่าวเชิงบวกต่อความคืบหน้าวัคซีนจะมาช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างหนักก็ยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนค่อนข้างมีความกังวล
· กองทุน SPDR เมื่อวานนี้ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,170.15 ตัน
· ราคาซิลเวอร์ปิด +3.5% ที่ระดับ 25.35 เหรียญ ขณะที่ราคาแพลทินัมปิด -0.4% ที่ 1,032.71 เหรียญ และพลาเดียมปิด +0.6% ที่ 2,331.71 เหรียญ
· HSBC มองว่า หากการระบาดกลับมาเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ก็อาจจะกลับมายิ่งหนุนราคาซิลเวอร์และกลุ่มสินค้าประเภทแพลทินัมได้
· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาทะลุ 74.5 ล้านรายทั่วโลกแล้วในเวลานี้ โดยเมื่อวานพบยอดผู้ติดเชื้อใหม่โดยรมทั่วโลกสูงกว่า 708,000 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตรวมทั่วโลกแตะ 1.65 ล้านราย
ยอดติดเชื้อในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเกือบ 240,000 รายในเวลาเพียง 1 วัน ล่าสุดสะสมที่ 17.38 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมรวมที่ 314,519 ราย
ยอดติดเชื้อในไทยเพิ่มขึ้น 15 ราย ส่งผลให้มียอดรวมสะสม 4,261 ราย เมื่อเทียบกับการระบาดในพม่าเวลานี้พบเพิ่มขึ้น 1,233 ราย ทำให้ยอดสะสมสูงใกล้ 112,000 ราย
· ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กออกโรงเตือน “เดือนม.ค.” อาจทำการ Shutdown เศรษฐกิจทั้งหมดหากยอดติดเชื้อไวรัสยังเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์
· ไบเดน คาดว่า จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ภายในต้นสัปดาห์หน้า
นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดี คาดว่า จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิดเข็มแรก ในต้นสัปดาห์หน้า ซึ่งความล่าช้าที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้มีผลมาจากความลังเลของนายไบเดน แต่เกี่ยวกับการขนส่งเพื่อนำไปสาธิตในที่สาธารณะ
ทั้งนี้นายไบเดนมีเจตจำนงค์แสดงเป็นตัวอย่างให้ประชากรสหรัฐฯ มั่นใจว่าวัคซีนปลอดภัย
· ประชุมเฟดส่งท้ายปี มีมติเอกฉันท์ในการคงดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ในกรอบ 0.00-0.25% ตามคาด และยังคงตอกย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเพื่อพยายามสนับสนุนเศรษฐกิจและปรับเพิ่มมุมมองแนวโน้มการขยายตัว
นอกจากนี้ เฟดยังส่งสัญญาณถึงการเดินหน้าซื้อพันธบัตรต่างๆรวมกันไม่น้อยกว่า 1.20 แสนล้านเหรียญในแต่ละเดือนตามเดิม “จนกว่าจะมีความคืบหน้าด้านการจ้างงานอย่างเต็มที่ รวมถึงเป้าหมายเสถียรภาพทางด้านราคา”
· FED ECONOMIC PROJECTIONS
- ปรับเพิ่มแนวโน้มจีดีพีปีนี้ที่ระดับ 2.4% ปีนี้ จากคาดการณ์เดิมเดือนก.ย.ที่ -3.7%
- ปรับเพิ่มแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจปีหน้าที่ 4.2% จากคาดการณ์เดิมที่ 4.0%
- คาดอัตราคนว่างงานปีนี้จะอยู่ที่ 6.7% จากคาดการณ์ก่อนหน้า 7.6%
- คาดอัตราว่างงานปีหน้าจะอยู่ที่ 5.0% จากคาดการณ์เดิม 5.5%
- คาดเงินเฟ้อปีนี้ทรงตัวตามคาดเดิม 1.2% แต่ปีหน้าคาดโตได้ 1.8% จากเดิมมองที่ 1.7%
· เฟดเข้าร่วมแนวทางเดียวกับธนาคารกลางทั่วโลกในการมุ่งเน้นการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ
· สภาคองเกรสเข้าใกล้กำหนดเส้นตาย – และใกล้ตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจ 9 แสนล้านเหรียญได้
สภาคองเกรสดูจะเร่งเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นการฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงิน, คนว่างงาน และการช่วยเหลือกลุ่มผู้เช่า ที่อาจขยายเวลาช่วยเหลือภาคธุรกิจและงบประมาณในการส่งมอบวัคซีน แต่ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างฉุกเฉิน และการหารือข้อตกลงเวลานี้ยังไม่เข้าใกล้ขั้นสุดท้าย
ภาพรวม รีพับลิกันและเดโมแครต มีการส่งสัญญาณในทางเดียวกันว่า “พร้อมที่จะร่วมมือกันสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา”
และก็มีสัญญาณมากขึ้นว่าทั้งสองฝ่ายอาจหาวิธีตกลงเรื่องภาคธุรกิจและนิติบุคคลร่วมกันได้ ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล่าวเตือนว่า หากคองเกรสยังล้มเหลวในการดำเนินการก็อาจส่งผลเสียเป็นระยะเวลานาน
นายชัคส์ ชูมเมอร์ส สมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครตกล่าวถึง ความคืบหน้าในเชิงบวกที่ถึงแม้จะไม่มีใครได้รับสิ่งที่ต้องการทั้งหมด แต่การหารือก็เป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างดีมาก
· ยอดค้าปลีกสหรัฐฯลดลงต่อเนื่อง จากไวรัสโคโรนาและการขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ยอดค้าปลีกสหรัฐฯประจำเดือนพ.ย.ออกมาลดลงมากกว่าที่คาด โดยถูกกดดันจากยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้นและรายได้ครัวเรือนลดลง จึงเพิ่มสัญญาณการชะลอตัวของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากภาวะถดถอยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าว
ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ร่วงลง 1.1% เมื่อเดืิอนที่แล้ว ซึ่งข้อมูลเดือนต.ค.ได้รับการปรับทบทวนจากยอดขายที่ลดลง 0.1% แทนที่จะเพิ่มขึ้น 0.3% ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.จากมาตรการ Lockdown ที่เข้มงวดในการควบคุมผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาระลอกแรกทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ โดยเป็นการปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ซึ่งอาจทำให้สภาคองเกรสเห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นทางการคลังอื่น
ยอดขายที่ลดลงในเดือนที่แล้ว นำโดยยานยนต์ มียอดขายที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ร่วงลง 1.7% หลังจากไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนต.ค. รายรับจากร้านเสื้อผ้าลดลง 6.8% ด้านผู้บริโภคยังลดการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มนอกบ้าน และยอดขายที่ร้านอาหารและบาร์ลดลง 4.0%
ด้านยอดขายในร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง 3.5% และรายรับที่ร้านเฟอร์นิเจอร์ลดลง 1.1% นอกจากนี้ยังมียอดขายลดลงในสินค้ากีฬา เครื่องดนตรีและร้านหนังสือ
ขณะที่ยอดขายปลีกทางออนไลน์และการสั่งซื้อทางไปรษณีย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2%
· นายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ตัวแทนการค้าสหรัฐฯ กล่าวเตือน นายไบเดน ให้คงกดดันแนวทางเข้มงวดกับจีนในข้อตกลงการค้าเฟส แรกต่อไป
· อังกฤษส่งสัญญาณจะใช้กลยุทธ์ Wait&See รอจบ Brexit ก่อนดำเนินการใดๆ ในการประชุมวันนี้ ที่ตลาดคาดจะยังคงดอกเบี้ยระดับต่ำเป็นประวัติศาสตร์ 0.1% และมีการคงดอกเบี้ย 8.95 แสนล้านปอนด์ (1.2 ล้านล้านเหรียญ) โดยมีการเพิ่มการซื้อพันธบัตรในเดือนที่แล้วกว่า 1.5 แสนล้านเหรียญในเดือนที่ผ่านมา
· ผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตอาหารของอังกฤษ ได้เรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบการหยุดชะงักที่ท่าเรือ โดยเตือนว่าความล่าช้าส่งผลกระทบต่อแผนการสร้างสต๊อก
โดย British Retail Consortium (BRC) และสหพันธ์อาหารและเครื่องดื่ม (FDF) ได้เขียนจดหมายถึงนาง Lilian Greenwood ประธานคณะกรรมการ Commons Transport Select Committee ของรัฐสภาและนาย Angus Brendan MacNeil ประธานคณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศเพื่อขอให้มีการไต่สวนอย่างเร่งด่วน เกี่ยวกับการหยุดชะงักอย่างต่อเนื่องที่ท่าเรือและทั่วทั้งตลาดการขนส่ง
พร้อมทั้งระบุว่า ผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่มีต่อตารางการเดินเรือทั่วโลกและพนักงานการขนส่ง รวมถึงการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ว่างเปล่าได้ก่อให้เกิดการหยุดชะงักที่ท่าเรือสำคัญหลายแห่งในอังกฤษ เช่น เฟลิกซ์สโตว์และเซาแทมป์ตันในช่วงที่สำคัญ – ถึงเทศกาลวันคริสต์มาส
· ออสเตรเลีย เรียกร้องอย่างเป็นทางการต่อ WTO ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเรื่อง “ข้าวบาร์เลย์” กับจีน
· หน่วยงานกำกับดูแลของจีน หรือ CSRC ระบุว่า ควรเรียกเก็บ ภาษีข้อมูลดิจิทัลของบริษัทเทคโนโลยี
จีนควรกำหนดภาษีดิจิทัลสำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่มีข้อมูลผู้ใช้จำนวนมาก โดยแพลตฟอร์มที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้เหล่านี้ ผู้ใช้ควรแบ่งปันผลกำไรให้กับองค์กรด้วย
· นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าต่อ ประเมินการเคลื่อนไหวในกรอบ 29.90 - 30.10 บาท/ ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่ 30.01-30.06 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางญี่ปุ่น มีผลต่อค่าเงินบาทในวงจำกัด อย่างไรก็ดี ต้องติดตามการเจรจา Brexit รวมทั้งสถานการณ์ไวรัสโคโรนาของทั่วโลกที่ขณะนี้หลายประเทศเริ่มกลับมาประกาศมาตรการ Lockdown อีกครั้ง
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในวันนี้ จะมีการหารือถึงมาตรการป้องกันโควิด-19
ซึ่งมีหลายมาตรการที่ผ่อนลงไป โดยเฉพาะกรณีการชมคอนเสิร์ตแบบไม่เว้นระยะห่างที่จังหวัดนครราชสีมา หรือการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ประกอบกับชาวต่างประเทศที่เริ่มเดินทางเข้าประเทศมา หลายประเทศเริ่มทดลองวัคซีน ทำให้ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ใหม่อีกรอบ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเข้มงวดขึ้น หรือผ่อนคลายลง
- บีโอไอจัดประชุมหารือร่วมกับตัวแทนหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เพื่อรับฟังข้อเสนอะแนะเกี่ยวกับมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่างๆ ของนักลงทุน หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้กิจกรรมด้านการลงทุนไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายและมีความชัดเจนเรื่องวัคซีน ไทยจึงมีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนการลงทุนด้วยการแก้ไขปัญหาอุปสรรค และอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างประเทศ
· อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ
ยอดโควิด วันที่ 16 ธ.ค. 63 ไทยพบผู้ติดเชื้อ 'โควิด-19' เพิ่ม 15 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 4,261 ราย
ศูนย์ข้อมูล COVID-19" รายงาน "ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19" วันนี้ ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 15 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 4,261 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 60 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,977 ราย
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 63 เวลา 11.00 น. เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ว่า ประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 15 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,261 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 28 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,977 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 224 ราย