• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 21 ธันวาคม 2563

    21 ธันวาคม 2563 | Gold News

ทองคำร่วง-ดอลลาร์แข็ง ขณะที่นักลงทุนรอคอยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ราคาทองคำคืนวันศุกร์ปิดปรับลง หลังจากที่ปิดแดนบวกต่อเนื่อง 3 วันทำการ จากการรีบาวน์ของดอลลาร์ จึงบดบังปัจจัยบวกจากความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ราคาทองตลาดโลกปิด -0.1% แถว 1,883.89 เหรียญ แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปิดในเชิงบวก โดยขึ้นได้ 2.5% และนับเป็นการขึ้นต่อเนื่องสัปาดห์ที่ 3

สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด -1.5 เหรียญ หรือ -0.08% ที่ 1,888.9 เหรียญ

กองทุน SPDR เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,167.82 ตัน


· นักวิเคราะห์จาก FXEmpire คาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นผลดีต่อตลาด แต่การปรับขึ้นของทองคำอาจจำกัดจากการแพร่หลายของวัคซีน

โดยภาพรวมแพทเทิร์นการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในเดือนนี้ค่อนข้างดี และตลาดมีการตอบรับข่าวเชิงบวกของสภาคองเกรสที่พยายามผลักดันาร่างกฎหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น หากสภาคองเกรสตกลงกันได้ก็มีโอกาสเห็นทองคำขึ้นต่อในสัปดาห์นี้

ภาพระยะยาวของทองคำค่อนข้างชัดเจนนับตั้งแต่กลับสู่แนวโน้มขาขึ้น จากการที่เฟดใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และล่าสุดมีการส่งสัญญาณที่จะเดินหน้าอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการเงินต่อไป รวมทั้งคงดอกเบี้ยระดับต่ำ จนกว่าเศรษฐกิจจะสามารถฟั้นตัวได้


· นักวิเคราะห์จาก FXStreet วิเคราะห์ว่า ทองคำค่อนข้างสดใสหลัง Break 1,870 เหรียญได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นระดับสำคัญของเส้นค่าเฉลี่ย SMA ราย 50 วัน ทำให้กลุ่มนักลงทุคาดหวังจะเห็นทองคำฟื้นตัวกลับไปที่ 1,900 เหรียญ และขึ้นไปหาสูงสุดของเส้นค่าเฉลี่ย SMA ราย 100 วันแถว 1,903 เหรียญ


· คองเกรสบรรลุข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมกันได้แล้ว ในวงเงิน 9 แสนล้านเหรียญสำหรับข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจ Covid-19 เพื่อช่วยเหลือชาวสหรัฐฯและเรื่องระบบสุขภาพและเศรษฐกิจที่กำลังได้รับผลกระทบจากการระบาดอย่ารงหนักในเวลานี้

ขณะที่การเลี่ยงงบประมาณ Shutdown ภาครัฐ คาดจะเริ่มต้นได้ในวันนี้ หลังจากที่บรรดาสภาคองเกรสอนุมัติวงเงินงบประมาณฉุกเฉินราย 1 วันในการคงให้เกิดการโหวตได้จนถึง เที่ยงคืนนี้ที่จะเริ่มวันใหม่ของ 22 ธ.ค. เพื่อให้วุฒิสภาทำการโหวตแผนร่างงบประมาณรัฐบาลและการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งคู่

ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นครั้งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดวงเงินงบประมาณที่อาจรวมสูงกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ


· สภาคองเกรสผ่านร่างงบประมาณรัฐบาล 1 วัน ยื่นเรื่องต่อให้วุฒิสภาโหวตต่อวันนี้


· Covid-19 ทั่วโลกทะลุ 77 ล้านราย - ไทยติดเชื้อเพิ่มยอดสะสมใกล้ 5,000 ราย

ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาสะสมทั่วโลก 77.15 ล้านราย และยอดเสียชีวิตทั่วโลกสะสม 1.69 ล้านราย โดยเฉลี่ยรายวันมียอดติดเชื้อวันเดียวเพิ่มกว่า 540,042 ราย

ยอดติดเชื้อไวรัสในสหรัฐฯทะลุ 18.26 ล้านราย ติดเชื้อวันเดียว 176,697 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสม 324,849 ราย

ยอดติดเชื้อไวรัสในอังกฤษทะลุ 2.04 ล้านราย

พม่ายอดติดเชื้อไวรัสทะลุ 116,134 ราย

ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 576 ราย รวมสะสมที่ 4,907 ราย


· อังกฤษ ระบุ พบผู้ติดเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์ ระบาดรวดเร็วขึ้น


· นายกฯอังกฤษ สั่งยกระดับ Lockdown กรุงลอนดอน และทางตอนใต้ของประเทศ จากระดับ 3 สู่ระดับ 4 พร้อมยกเลิกแผนผ่อนผันช่วงคริสต์มาส ตั้งแต่ 23-27ธ.ค. รวมทั้งเรียกร้องการออกมาจับจ่ายใช้สอยที่ไม่จำเป็น


· อิตาลีพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวเดียวกับที่พบในประเทศอังกฤษ


· เบลเยียม, ออสเตรีย, อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ ระงับเที่ยวบินไปอังกฤษ จากความกังวล Covid-19 สายพันธุ์ใหม่


· เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขจีน เผย จีนเริ่มต้นฉีดวัคซีน Covid-19 แก่กลุ่มเสี่ยงสูงตลอดช่วงหน้าหนาว-ฤดูใบไม้ผลินี้

โดยมีวัคซีน 2 บริษัทในจีน หนึ่งในนั้นคือวัคซีนของ Sinovac Biotech ที่อนุมัติใช้กลุ่มผู้เสี่ยงสูง

และอีกตัวที่ได้รับอนุมัติคือวัคซีนของ CanSino Biologics สำหรับใช้เฉพาะทางทหารเท่านั้น แต่ยังไม่ได้รับอนุมัติสำหรับใช้กับประชาชนโดยทั่วไป


· อังกฤษยันควรเดินหน้าเจรจาการค้ากับอียูต่อ แต่รัฐมนตรีด้านสาธารณสุขก็กล่าวตำหนิข้อเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลของอียูในหลายๆเรื่อง


· อังกฤษ-อียู ต่างกล่าวถึงความยากลำบากในการเจรจาการค้าร่วมกัน จากความแตกต่างที่ค่อนข้างมาก และอังกฤษยังพยายามโน้มน้าวให้อียูเปลี่ยนแปลงหรือลดท่าทีเพื่อเปิดกว้างต่อโอกาสเกิดข้อตกลงการค้าหลัง Brexit ท่ามกลางตัวแทนเจรจาของอียูที่พยายามปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของสหภาพยุโรป


· สหรัฐฯขึ้นบัญชีดำบริษัทจีน 12 แห่ง ประกอบด้วย SMIC และ DJI

รายงานจาก Reuters ระบุว่า สหรัฐฯมีการประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนอีก 12 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง SMIC รวมถึงบริษัทผู้ผลิตโดรนของจีน หรือ SZ DJI Technology Co. ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ท่ามกลางทีมบริหารของนายทรัมป์ที่เพิ่มแรงกดดันต่อจีนเพิ่มในสัปดาห์สุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง

ทั้งนี้ ทีมบริหารของนายทรัมป์ ตั้งข้อหาว่าบริษัทต่างๆของจีนที่ขึ้นบัญชีดำนั้นมีส่วนพัวพันกับการให้ความช่วยเหลือหรือมีหลักฐานบ่งชี้ถึงความกังวลว่ามีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมทางทหารของจีน

อย่างไรก็ดี บริษัทต่างๆเหล่านั้นยังไม่มีแถลงการณ์ใดๆออกมา

นายวิลเบอร์ รอส รัมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า จะไม่ยอมให้บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯให้การช่วยเหลือการเพิ่มการสร้างกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งของจีน


· “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีนหวังแสวงหาความได้เปรียบจากการมาของนายไบเดน ที่จะทำข้อตกลงการลงทุนกับอียู


· นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาท สำหรับสัปดาห์นี้ไว้ระดับ 29.60-30.00 บาท/ดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม

- ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธ.ค.

- ท่าทีต่อสถานการณ์ค่าเงินบาท

- ทิศทางกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ

- ข้อมูลการส่งออกเดือนพ.ย.ของไทย

- บทสรุปของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องติดตาม ได้แก่

1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.
2. ยอดขายบ้านมือสอง
3. ยอดขายบ้านใหม่
4. รายได้-รายจ่ายส่วนบุคคล
5. อัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก Core PCE Price Index
6. ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย.
7. ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3/2020

· อ้างอิงจากสำนักข่าว

- ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้เป็น -6.3% ดีขึ้นจากการประมาณในครั้งก่อน (ส.ค.63) ที่ระดับ -9.4% ขณะที่คาดว่า GDP ในปี 64 จะพลิกกลับมาเติบโตได้ที่ 2.8% โดยมีปัจจัยหนุนจากการพัฒนาวัคซีนโควิดที่มีความก้าวหน้า, เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด, ภาครัฐออกมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง, ธนาคารกลางทั่วโลกใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

พร้อมทั้ง คาดว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ จะยังคงอัตราดอกเบี้ย นโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว พร้อมมองว่าไม่มีเหตุผลที่ กนง.จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อดูแลสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่า อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันถือว่าเพียงพอสำหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยแล้ว

สำหรับมุมมองสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยในปี 64 คาดว่าจะลดลงจากปีนี้ และแม้จะยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 80% ของจีดีพีก็ตาม แต่ก็ยังไม่เป็นประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในปีนี้มาจากผลชั่วคราวของสถานการณ์โควิด ที่ทำให้ประชาชนจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อรักษาสภาพคล่อง โดยคาดว่าหนี้ครัวเรือนจะลดลงต่ำกว่าระดับ 80% ได้ในปี 65


- สำหรับสัปดาห์นี้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งตลาดคาดว่ารอบนี้ กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมที่ 0.50% แต่ต้องติดตามว่า กนง.จะประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 64 ในมุมมองอย่างไร

· อ้างอิงจากสำนักข่าว กรุงเทพธุรกิจ

- สำนักวิจัยเศรษฐกิจผวาโควิด-19 ระบาดระลอก2 ฉุดเศรษฐกิจไทยฟื้นช้า "ทีเอ็มบี"หวั่นล็อกดาวน์ลามทั่วประเทศ กระทบต้นทุนทางเศรษฐกิจรอบใหม่ 4-5 แสนล้านบาท แนะรัฐเร่งควบคุมการระบาด

· อ้างอิงจากสำนักข่าว The Standard

- นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การแพร่ระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อน (Double-dip recession) หากภาครัฐไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามผลกระทบเบื้องต้นประเมินว่า จะส่งผลใน 2 ด้านหลัก คือ

1. การเดินทางภายในประเทศและความเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นแรงหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจช่วงปลายปี

2. กำลังซื้อในประเทศที่แผ่วลง เพราะนอกจากคนจะระมัดระวังเรื่องการเดินทางแล้ว การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงกลุ่มธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร ขนส่ง ค้าปลีก อาจได้รับผลกระทบจากการกลับมาแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในรอบใหม่ด้วย


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com