ราคาทองคำอ่อนตัวลงจากดอลลาร์รีบาวน์ – ความเชื่อมั่นสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่ม
· ราคาทองคำปรับตัวลดลงเล็กน้อยท่ามกลางปริมาณการซื้อขายปานกลาง จากการรีบาวน์ของค่าเงินดอลลาร์ และการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และงบประมาณภาครัฐ จำนวน 2 ฉบับ รวมมูลค่า 2.3 ล้านล้านเหรียญ
· ราคาทองคำตลาดโลกปิดทรงตัวที่ 1,875.99 เหรียญ
· ขณะที่เมื่อวานนี้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปกว่า 1.3% ทำสูงสุดตั้งแต่ 21 ธ.ค. ที่ระดับ 1,900.04 เหรียญในตลาดเอเชีย ก่อนจะอ่อนตัวมาจากความผันผวนช่วงก่อนเข้าสู่วันหยุด
· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ.ปิด -0.2% ที่ 1,880.40 เหรียญ
· กองทุน SPDR เมื่อวานนี้ทำการเข้าซื้อทองคำเพิ่ม 2.33 ตัน โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,169.86 คัน
· นักกลยุทธ์การตลาดจาก RJO Futures กล่าวว่า ในช่วงเข้าสู่วันหยุดเทศกาล ภาพรวมตลาดไม่น่าเคลื่อนไหวได้มากนัก แต่อาจมีการตอบรับกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ แต่โดยรวมทองคำมีแนวโน้มจะขยับขึ้นได้ต่อ
· ดัชนีดอลลาร์รีบาวน์หลังลงไปทำต่ำสุดรอบ 1 สัปดาห์
· ราคาซิลเวอร์ปรับขึ้น 1.8% ที่ระดับ 26.32 เหรียญ หลังทำสูงสุดรอบ 1 สัปดาห์ที่ 26.75 เหรียญ
· ราคาแพลทินัมปิด +1% ที่ 1,033.74 เหรียญ
· ราคาพลาเดียมปิด +0.6% ที่ 2,335.52 เหรียญ หลังทำสูงสุดตั้งแต่ 11 พ.ย. ที่ 2,470.43 เหรียญ
· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาสะสมทั่วโลกทะลุ 81.63 ล้านราย โดยล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายวันที่ 462,598 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมรวมที่ 1.78 ล้านราย
ยอดติดเชื้อในสหรัฐฯยังเพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้งล่าสุดทะลุ 19.75 ล้านราย โดยมียอดติดเชื้อรายวันใหม่เพิ่มขึ้นที่ 162,830 ราย และมียอดเสียชีวิตสะสมรวม 342,991 ราย
อินเดียพบยอดติดเชื้อทะลุ 10 ล้านราย ล่าสุดรวมสะสม 10.22 ล้านราย
สเปนยอดติดเชื้อขยับใกล้ 2 ล้านราย ล่าสุดสะสมอยู่ที่ 1.89 ล้านราย
ยอดติดเชื้อในไทยก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยเมื่อวานนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 144 ราย รวมสะสม 6,285 ราย โดยแบ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสภายในประเทศ 115 ราย ภาพรวมขยายวงกว้าง 43 จังหวัด
ด้านโฆษกกทม. ทยอยเปิดไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 20-27 ธ.ค. พบติดเชื้อแล้ว 75 คน
· อังกฤษ คาดว่าจะ อนุมัติวัคซีนฉุกเฉิน Oxford-AstraZeneca ภายในสัปดาห์นี้
· สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯผ่านร่างเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจ 2,000 เหรียญ – ส่งเรื่องให้วุฒิสภาโหวตต่อ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติจ่ายเงินโดยตรงแก่ประชาชนเป็นครั้งที่ 2 ผ่านเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2,000 เหรียญ ตามข้อเรียกร้องของนายทรัมป์ในการสนับสนุนเพิ่มวงเงินแก่ชาวอเมริกา
· กระทรวงการคลังสหรัฐฯ คาดว่าเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก 600 เหรียญจะเริ่มส่งถึงมือภาคครัวเรือนได้ในสัปดาห์นี้ ขณะที่การเพิ่มวงเงินล่าสุดกำลังอยู่ในกระบวนการของคองเกรสซึ่งหากวุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายได้ตามที่นายทรัมป์ร้องขอก็น่าจะเกิดขึ้นตามมาได้
· ทำเนียบขาว กำหนดลงมติค้านสิทธิวีโต้ของนายทรัมป์ เกี่ยวกับร่างงบประมาณด้านความมั่นคงประจำปี 7.40 แสนล้านเหรียญ
โดยหากสภาล่างผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวได้ ก็จะเป็นการลบล้างการปฏิเสธงบประมาณกลาโหมครั้งใหญ่ของนายทรัมป์ และทางสภาสูงก็จะโหวตร่างต่อไป
· ไบเดนตำหนิทรัมป์ เรื่องการขวางงบประมาณกระทรวงกลาโหมและสำนักงบประมาณการจัดการสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นหน่วยงานสำคัญ และสร้างอุปสรรคต่อความพยายามของนายไบเดนในการเตรียมความพร้อมรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการต่อไป
· สมาชิก 27 ประเทศของอียู อนุมัติข้อตกลงการค้า Brexit อย่างเป็นทางการก่อนกำหนดเส้นตาย โดยจะมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. นี้
· เศรษฐกิจจีนจะยังชะลอการฟื้นตัวในอีกหลายเดือนหลังการระบาดของ Covid-19
รัฐบาลจีน ส่งสัญญาณถึงความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโดยภาครวม ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจีดีพีจีนมีแนวโน้มที่จะขยายตัวประมาณ 2% ในปีนี้ ขณะที่ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยกว่าปีที่แล้วเนื่องจากหลายคนยังคงไม่แน่ใจเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต
อย่างไรก็ดี อุปสงค์ภายในประเทศถือเป็นส่วนสำคัญของแผนเติบโตเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของจีน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนส่วนใหญ่เติบโตได้จากผู้บริโภค มากกว่าการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นกับประเทศคู่ค้ารายใหญ่อย่างสหรัฐฯ
· นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 29.95-30.25 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทเย็นนี้อ่อนค่าจากในช่วงเช้า แต่ภาพรวมตลอดทั้งวันตลาดค่อนข้างเงียบ ปัจจัยที่ตลาดให้ความสำคัญยังคงเป็นเรื่อง การระบาดของไวรัสโควิดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับแนวโน้มวันนี้ค่าเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่า แต่อาจจะอ่อนไปกว่านี้ได้ไม่มากนัก เนื่องจากการทำธุรกรรมค่อนข้างเบาบางช่วงเข้าสู่ปลายปี
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปี 64 จะขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้แน่นอน จากทิศทางเศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลกที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลดีกับภาคการส่งออกของไทย อีกทั้งข่าวดีเรื่องความสำเร็จของวัคซีนโควิด-19 โดยกระทรวงการคลังจะมีการปรับประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 63 และปี 64 ใหม่อีกครั้งในเดือน ม.ค.64 ซึ่งจะต้องมีการทบทวนสมมุติฐานที่มีผลกับเศรษฐกิจทั้งหมด อาทิ การท่องเที่ยว ราคาน้ำมัน และตัวเลขส่งออก เป็นต้น
พร้อมทั้ง ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในเดือน พ.ย.63 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกสินค้า และการบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐในช่วงปลายปี