• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 5 มกราคม 2564

    5 มกราคม 2564 | Gold News

ทองคำปรับขึ้นได้กว่า 2จากดอลลาร์อ่อนค่า

·         ราคาทองคำปรับขึ้นได้กว่า 2จากดอลลาร์อ่อนค่า โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงทำต่ำสุดรอบ 2 ปีครึ่ง ก่อนทราบผลเลือกตั้งผู้แทนวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯจากรัฐจอร์เจีย ที่จะเป็นตัวชี้ชะตาว่าพรรคใดจะได้ครองเสียงข้างมากของวุฒิสภาสหรัฐฯ  เพราะหากพรรคเดโมแครตครองคว้าชัยก็จะสามารถครองได้ทั้งสภาล่างและสภาสูง และจะกลายมาเป็นเรื่องง่ายต่อการผลักดันนโยบายของนายไบเดน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับขึ้นภาษีครั้งใหม่, การหนุนค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน


·         ราคาทองคำตลาดโลกปิด 2.4% ที่ระดับ 1,943.13 เหรียญ และไปทำสูงสุดตั้งแต่ 9 พ.ย ที่ระดับ 1,944.11 เหรียญ


·         สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ.ปิด +2.7ที่ 1,946.6 เหรียญ




·         SPDR ซื้อหนัก 17.21 ตัน ส่งผลให้วันทำการแรกของปีมีปริมาณการถือครองทองคำเพิ่มที่ 1,187.95 ตัน ซึ่งเป็นระดับการถือครองที่เพิ่มขึ้นมากสุดรอบ 1 เดือนนับตั้งแต่ 4 ธ.ค. ปี 2020


·         ผู้ก่อตั้งสถาบันการลงทุนของ Circle Squared Alternative Investments กล่าวว่า แนวโน้มการเกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นเป็นตัวกดดันให้ดอลลาร์ปรับอ่อนค่า และหากหมดปัจจัยจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯในสัปดาห์นี้อาจสร้างความผันผวนให้แก่ทองคำที่กำลังปรับขึ้นในเวลานี้ได้


·         นักลงทุนหลายๆคนเลือกถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และความกังวลต่างๆอันเป็นผลจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่


·         อาจมีการ Lockdown เพิ่มขึ้นในอังกฤษและญี่ปุ่นอันเป็นผลจากการระบาดหนักที่เกิดขึ้นในเวลานี้


·         นักวิเคราะห์จาก StoneX กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำเช่นกัน เพราะการสั่งห้ามสายการบินแอฟริการใต้จะเป็นตัวกระทบกับการส่งออกสินค้าในกลุ่มโลหะมีค่า ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ, แพลทินัม และพลาเดียม ที่มักใช้การขนส่งด้วยสายการบิน และหลักๆมักมากับเที่ยวบินที่มีผู้โดยสารร่วมทางด้วย


·         แพลทินัมปิด -0.4ที่ 1,063.87 เหรียญ หลังระหว่างวันทำสูงสุดตั้งแต่ส.ค. ปี 2016 บริเวณ 1,127.82 เหรียญ


·         ราคาซิลเวอร์ปิด +3.1ที่ 27.17 เหรียญ หลังทำสูงสุดตั้งแต่ 15 ก.ย. ปี 2020 ในช่วงต้นตลาด


·         ราคาพลาเดียมปิด -3.1ที่ระดับ 2,372.92 เหรียญ

  

·         ถ้อยแถลงสมาชิกเฟด

- นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก คงท่าทีผ่อนคลายทางการเงินเป็นเวลานาน และมีความชัดเจนมากขึ้นว่าเฟดอาจจำเป็นต้องมีการเข้าซื้อสินทรัพย์มากขึ้น

ณ ปัจจุบันเฟดมีการเข้าซื้อพันธบัตรต่อเดือนที่วงเงิน 1.2 แสนล้านเหรียญ ซึ่งหากเฟดเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มก็อาจจะมีการปรับวงเงินและระยะเวลาให้ขยายตัวมากขึ้นได้

ซึ่งเฟดต้องมั่นใจก่อนดำเนินการว่าจะสามารถช่วยฟื้นฟูการเติบโตและให้อัตราจีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ 4% ขณะที่อัตราว่างงานมีแนวโน้มกำลังจะลดลงมาที่ 5%

- นางลอเร็ตต้า เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาเคฟแลนด์ ระบุว่า การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจะยังคงไว้เป็นเวลานาน  ขณะที่จำนวนการฉีดวัคซีน Covid-19 ที่เพิ่มขึ้นยังไม่เพียงพอให้เฟดถอนนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจ

- นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า กล่าวว่า อาจมีการพิจารณาปรับลดการเข้าซื้อสินทรัพย์รายเดือนได้ในปีนี้ หากการกระจายวัคซีนไวรัสโคโรนาช่วยหนุนเศรษฐกิจได้อย่างที่คาดหวังไว้

 

 

·         สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

 


ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาสะสมทั่วโลกทะลุ 86.06 ล้านราย โดยล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายวันที่ 502,847 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมรวมที่ 1.85 ล้านราย

 

ยอดติดเชื้อในสหรัฐฯยังเพิ่มขึ้นไม่หยุดล่าสุดทะลุ 21.32 ล้านราย โดยมียอดติดเชื้อรายวันใหม่เพิ่มขึ้นที่ 163,375 ราย และมียอดเสียชีวิตสะสมรวม 361,814 ราย

 

ยอดติดเชื้อในไทยก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยเมื่อวานนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 745 ราย รวมสะสม 8,439 ราย  โดยแบ่งเป็นคนไทยติดเชื้อในประเทศ 152 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 65 ราย และ ณ ขณะนี้ประเทศไทยพบผู้ป่วยรายงานใน 54 จังหวัด ซึ่งที่เพิ่มมาใหม่คือประจวบคีรีขันธ์

ผู้ป่วยยืนยันรายใหม่เมื่อวานนี้ใน จ.สมุทราสาคร กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่เกิดขึ้นจำนวนมากอีกครั้ง

 


 

·         ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กยืนยันพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่รายแรกซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่พบในอังกฤษ โดยผู้ป่วยรายนี้ไม่พบประวัติการเดินทางใดๆ  

นอกจากนี้ สหรัฐฯพบการติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย, ฟอริดา และโคโรลาโด  ซึ่งเป็นการแพร่ระบาดที่ไม่แสดงอาการเจ็บป่วย หรือเพิ่มความเสี่ยงด้านการเสียชีวิตในเวลานี้

 

·         รัฐนิวยอร์ก และฟอริดา เรียกร้องโรงพยาบาลเร่งฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น

 

·         BioNTech ระบุว่า ไม่พบข้อมูลสนับสนุนว่าการเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไป 21 วันจากการฉีดในโดสแรกจะช่วยป้องกัน Covid-19 ได้

เยอรมนีกำลังพิจารณาว่าจะอนุมัติให้เลื่อนการฉีดวัคซีนเข็มสองออกไปเนื่องจากความกังวลว่าอุปทานจะไม่เพียงพอ

 

·         นายบอริส จอห์นสัน นายกฯอังฤษประกาศ Lockdown เพิ่มเพื่อจำกัดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และหวังว่าการใช้มาตรการที่เข้มงวดเพียงพอจะช่วยจำกัดการระบาดได้

 

·         อังกฤษตัดสินใจเลื่อนการฉีดวัคซีนเข็ม 2 อย่างไม่เต็มใจนัก

 

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพออกโรงหนุนรัฐบาลอังกฤษเลื่อนการฉีดวัคซีน Covid-19 โดสที่ 2 ที่พัฒนาโดย Pfizer ร่วมกับ BioNTech พร้อมเตือนถึงความจำเป็นที่จะต้องหยุดยั้งสายพันธุ์ใหม่ที่ ไม่สามารถกล่าวเกินจริง” ได้

 

ล่าสุดอังกฤษมีการอนุมัติวัคซีนของ AstraZeneca ที่อาจจะต้องได้รับการฉีดซ้ำอีกภายใน 12 สัปดาห์ หลังจากฉีดวัคซีนเข็มแรก

 

·         สหภาพยุโรปหวั่นการกระจายวัคซีนล่าช้าอาจทำให้หลายๆประเทศใช้มาตรการเข้มงวดอีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับยอดติดเชื้อ

 

สมาชิกอียูหลายรายแสดงความกังวลเกี่ยวกับแผนการฉีดวัคซีนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และมีการตั้งคำถามกับคณะกรรมาธิการอียูเพื่อให้อธิบายว่าทำไมไม่มีการเร่งการซื้อวัคซีนเพิ่มอย่างรวดเร็ว เนื่องจากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อในยุโรปที่รวมถึงประเทศอังกฤษ มีจำนวนสูงกว่า 17 ล้านรายในเวลานี้  ส่งผลให้เกิดความกังวลและมีคำถามตามมาว่าการสั่งซื้อของอียูอาจไม่เพียงพอได้

 

·         ทรัมป์เดินเกมผิดในการเรียกร้องรัฐมนตรีรัฐจอร์เจียแก้ไขชัยชนะนายไบเดน โดยที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการระบบการลงคะแนนเลือกตั้ง ยืนยันที่จะไม่ดำเนินการตามที่นายทรัมป์ร้องขอ และไม่ยอมให้เกิดการนับผลคะแนนผีที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งต้องเทียบเคียงระหว่าง “ข้อเรียกร้องกับข้อเท็จจริง” และการดำเนินการแบบนั้นจะทำให้เกิดการสูญเสียศรัทธาของระบบการเลือกตั้งในรัฐจอร์เจีย โดยเฉพาะมีผลต่อตัวผู้แทนพรรครีพับลิกันเอง

 

·         บรรดาผู้นำภาคธุรกิจรายใหญ่เรียกร้องให้สภาคองเกรสยืนยันผลไบเดนชนะ-ทรัมป์แพ้ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และเรียกร้องให้สภาสูงปฏิเสธคำร้องที่เป็นการท้าทายการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น พร้อมเรียกร้องให้มีการรับรองผลทางการในวันที่ 6 ม.ค. นี้

 

·         นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสชี้ เศรษฐกิจออสเตรเลียอาจไม่โตได้เทียบเท่าช่วงก่อนไวรัสระบาดเพราะได้รับผลกระทบการค้ากับจีน หลังจีนพุ่งเป้าขึ้นภาษีการค้าในกลุ่มไวน์และข้าวบาร์เลย์ และอาจมีการขึ้นภาษีนำเข้าเนื้อสัตว์จากออสเตรเลียเพิ่ม และปัญหา ณ ขณะนี้ก็ดูจะไม่ยุติลงได้โดยง่าย

 

·         FTSE Russell ถอนชื่อบริษัทจีนกว่า 3 แห่งออกจากดัชนีซื้อขายในตลาดหุ้นระดับโลก หลังสหรัฐฯประกาศขึ้นบัญชีดำ จึงยิ่งตอกย้ำท่าทีของนายทรัมป์ที่ยังแข็งกร้าวต่อจีนจนนาทีสุดท้ายในการดำรงตำแหน่ง

โดย FTSE Russell ถอนรายชื่อบริษัทจีน 3 แห่ง ได้แก่

China United Network Communications
Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC)
Nanjing Panda Electronics

โดยจะมีผลในการออกจากตลาดวันพฤหัสบดีนี้เป็นต้นไป

 

·         อิหร่านกลับมาเสริมประสิทธิภาพแร่ยูเรเนียม 20% เพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ตอกย้ำตึงเครียดกับสหรัฐฯเพิ่มขึ้น และความพยายามของนายไบเดนที่จะเข้ารับตำแหน่งและมีแผนจะดึงอิหร่านกลับเข้าข้อตกลง

อย่างไรก็ดี สหรัฐฯยังแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของอิหร่าน

 

·         สหรัฐฯเรียกร้องให้อิหร่านทำการปล่อยเรือบรรทุกสารเคมีของเกาหลีใต้ และประณามว่าเป็ฯการดำเนินการคุกคามสิทธิเสรีภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มได้


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com