· Credit Suisse - คาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจโลกหวังปีนี้โตได้ 4.1%
รายงานจาก Credit Suisse คาดหวังถึงการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่จะโตได้ราว 4.1% ในปี 2021 ท่ามกลางอุปสงค์ทั่วโลกที่ฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วยการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ระดับต่ำหรือใกล้ศูนย์ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาแล้ว
ดังนั้น ตลาดหุ้นอาจปรับขึ้นต่อเนื่องจากความน่าดึงดูดของผลตอบแทน
การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Income) ก็ดูจะน่าลงทุน เช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุน จึงมีแนวโน้มที่สินเชื่อจะเพิ่มขึ้นสร้างโอกาสในการรับกับผลตอบแทนที่จะเกิด
· NYSE ชี้ ไม่นานเกินรอที่จะถอน 3 บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน
โดยเมื่อวานนี้ ตลาด New York Stock Exchange แถลงการณ์ถึงแผนที่จะถอนบริษัทยักษณ์ให่ หลังจากที่มีการหารือเพิ่มเติมร่วมกับสำนักงานจัดการผู้ตรวจการแผ่นดิน (Office of Foreign Assets Control)
รายชื่อ 3 บริษัทดังกล่าว ได้แก่ "China Telecom, China Mobile และ China Unicom"
NYSE ประกาศข่าวดังกล่าวเมื่อ 31 ธ.ค. 2020 ในการถอนหุ้นของชาวอเมริกาออกจาก 3 บริษัทข้างต้น เพื่อให้สอดรับกับการลงนามคำสั่งของนายทรัมป์ที่ลงนามไว้เมื่อ พ.ย. เนื่องจากมองว่า 3 บริษัทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการให้การสนับสนุนกองกำลังของจีน
คณะกรรมาธิการกำกับดูแลด้านความมั่นคงของจีน กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวมี "วัตถุประสงค์ทางการเมือง" และเป็นการเพิกเฉยต่อข้เท็จจริงของบริษัทที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสิทธิอันชอบธรรมของนักลงทุนทั่วโลกโดยสิ้นเชิง ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการทำลายกฎเกณฑ์ของตลาดและสร้างความเสียหายควบคู่ด้วย
· JIM CRAMER จาก CNBC เผยมุมอง 10 การลงทุนที่น่าสนใจในปี 2021
นายจิม เครเมอร์ พิธีกรและนักลงทุนชื่อดังของ CNBC มองว่า ถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนวันจันทร์จะอ่อนตัวลงในวันทำการแรกของปี แต่ระยะยาวก็ยังคงมีแนวโน้มที่ดีมาก และคุณสามารถหาจังหวะเข้าซื้อหรือซื้อบางส่วนได้อีกในวันต่อๆไป และหุ้นเด่นที่มีราคาถูกน่าช้อนซื้อ และน่าลงทุนเพื่อทำกำไร มีดังนี้
กลุ่ม E-Commerce
Amazon
Shopify
Walmart
Costco
Freight-forwarding stocks
กลุ่มการเดินทาง-ที่พัก
Boeing
Uber
Airbnb
กลุ่มดิจิทัล
Advanced Micro Devices
Nvidia
กลุ่มความมั่นคงด้านไซเบอร์
CrowdStrike
Okta
Zscaler
Palo Alto Networks
NortonLifeLock
กลุ่ม 5G
Marvell Technology
Qualcomm
Skyworks Solutions
Texas Instruments
NXP Semiconductors
กลุ่มเกี่ยวข้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
Walmart
Target
Home Depot
Lowe’s
Dollar Tree
Dollar General
หุ้นเกี่ยวข้องกับจีน
Boeing
Caterpillar
3M
Mastercard
Visa
American Express
กลุ่มเกี่ยวกับการจัดการด้านความมั่งคั่ง
Goldman Sachs
Morgan Stanley
Robinhood
การปฏิบัติงานนอกสถานที่หรือ Remote Work
Zoom
Salesforce.com (acquiring Slack)
Microsoft
Dell
HP
Apple
กลุ่มสุขภาพ
CVS
Humana
UnitedHealth Group
Johnson & Johnson
· หุ้นสหรัฐฯทรงตัวหลังจากดัชนี S&P500 ปรับตัวลงแดนลบในวันทำการแรกของปีนับตั้งแต่ปี 2016 โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์วันนี้ปรับขึ้นเพียง 45 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ฟิวเจอร์ส และ Nadsaq ฟิวเจอร์ส ต่างก็ขยับขึ้นเล็กน้อย
เมื่อวานนี้ดัชนี S&P500 ปรับลงไปกว่า 1.5% ถือเป็นการร่วงลงรายวันที่มากที่สุดนับตั้งแต่ 27 ต.ค. ในวันทำการแรกของปี อันเนื่องจาก 10 จาก 11 กลุ่มบริษัทในดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลเลือกตั้งผู้แทนวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯจากรัฐจอร์เจีย ที่จะเป็นตัวชี้ชะตาว่าพรรคใดจะได้ครองเสียงข้างมากของวุฒิสภาสหรัฐฯ เพราะหากพรรคเดโมแครตครองคว้าชัยก็จะสามารถครองได้ทั้งสภาล่างและสภาสูง และจะกลายมาเป็นเรื่องง่ายต่อการผลักดันนโยบายของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด
ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นลดลง 0.05% ร่วงลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัตการณ์ ด้านหุ้นออสเตรเลียปรับตัวลง 0.26%
ขณะที่ดัชนี S&P 500 futures เพิ่มขึ้น 0.03% ด้านดัชนี Stoxx 50 futures ลดลง 0.39% ดัชนี DAX futures ลดลง 0.34% และดัชนี FTSE futures ลดลง 0.26%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลง เนื่องจากรัฐบาลดูเหมือนจะประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อยับยั้งการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลเลือกตั้งผู้แทนวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯจากรัฐจอร์เจียก็ทำให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนลดลงเช่นกัน
โดยดัชนี Nikkei ปิด -0.37% ที่บริเวณ 27,158.63 จุด ด้านดัชนี Topix -0.19% ที่บริเวณ 1,791.22 จุด ซึ่งทั้งสองดัชนีปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3
· ดัชนีกลุ่ม blue-chip ปรับตัวสูงขึ้น 1.9% ที่ระดับ 5,368.50 จุด แตะระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีครึ่ง ขณะที่ดัชนี Shanghai Composite เพิ่มึข้น 0.7% ที่ระดับ 3,528.68 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นผู้บริโภค เนื่องจากเหล่านักลงทุนคาดหวังว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการบริโภคของประเทศ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงเล็กน้อย ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและการกำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติมที่กดดันความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุน
โดยดัชนี Stoxx600 ลดลง 0.2% ด้านหุ้นสาธารณูปโภคลดลง 0.7% ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี น้ำมันและก๊าซปรับตัวสูงขึ้น 0.4%
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปด้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนาในยุโรปและการประกาศ Lockdown ครั้งที่สามที่ถูกบังคับใช้ในอังกฤษ
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ดัชนี SET ภาคบ่ายพุ่งกว่า 20 จุด รับแรงซื้อหุ้นใหญ่ยังนำตลาดต่อเนื่อง
ดัชนีหุ้นไทยต้นภาคบ่ายพุ่งต่อไปเป็นกว่า 20 จุด รับแรงซื้อหุ้นใหญ่ต่อเนื่องจากช่วงเช้า โดยเฉพาะมีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นปลอดภัย (Defensive) รวมถึงคาดว่าน่าจะยังมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาต่อเนื่องด้วย
เมื่อเวลา 14.36 น. ดัชนี SET อยู่ที่ 1,488.60 จุด เพิ่มขึ้น 20.36 จุด (+1.39%)
ล่าสุดเมื่อเวลา 14.44 น.ดัชนี SET อยู่ที่ 1,485.84 จุด เพิ่มขึ้น 17.60 จุด (+1.20%)
- สรท.คาดส่งออกไทยปี 64 โต 3-4% จับตาโควิดรอบใหม่, ค่าเงิน, ราคาน้ำมัน
น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก คาดการณ์การส่งออกไทย ปี 2564 ว่าจะเติบโตได้ 3-4% (ณ เดือน ม.ค.64) ขณะที่ยังมองว่าสถานการณ์การส่งออกในไตรมาสแรกของปี 64 จะยังไม่ฟื้นตัว ส่วนการส่งออกไทยในปี 63 คาดว่าหดตัวในช่วง -7 ถึง -6%
- บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือกองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า กองทุนบัวหลวงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวที่ 3.8% เป็นอัตราการขยายตัวที่ยังไม่กลับไปสู่ระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19 แพร่ระบาด โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะใช้เวลาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19ได้ ในปี 2565-2566 ประเด็นสำคัญที่มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ได้แก่ ความเสี่ยงจากการที่โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง ซึ่งอาจจะไปตอกย้ำผลกระทบด้านลบกับธุรกิจในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยว และการบิน ทั้งยังอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังการจ้างงานและการบริโภคในประเทศด้วย ส่วนอีกประเด็นที่ต้องจับตาคือ ความเสี่ยงด้านการเมืองภายในประเทศ ที่มีการประท้วงเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งอาจจะมีผลต่อเสถียรภาพของประเทศ กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้
- ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดทองคำปี 2564 มองว่า ราคาทองคำ จะยังคงผันผวนโดยมีปัจจัยหนุนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมาจากปี 2563 ส่งผลให้เฟดยังคงใช้
มาตรการคิวอีต่อเนื่อง และสงครามการค้า (เทรดวอร์) ระหว่างสหรัฐและจีนคาดว่าจะกลับมารุนแรงขึ้น เนื่องจากสหรัฐต้องการปกป้องภาคการผลิตในประเทศ อย่างไรก็ตาม มองว่าการค้นพบวัคซีนต้านโควิด-19 จะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำเนื่องจากรัฐบาลทั่วโลกจะต้องถอนเม็ดเงินที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจมาเพื่อซื้อวัคซีนฉีดให้แก่ประชาชนในประเทศ เงินในระบบลดลงกดดันทองคำ
- บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดการเงินในปี 64 ยังคงเจอความท้าทายและต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และค่าบาทแข็งค่าคาดอยู่ที่ 29.00 บาทต่อดอลลาร์
- โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังทบทวนแผนและมาตรการทางเศรษฐกิจบางมาตรการที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยเตรียมขยายระยะเวลาออกไปตามความเหมาะสม เช่น โครงการคนละครึ่ง ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาในวันที่ 31 มี.ค.64และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่จะสิ้นสุดอายุมาตรการ 30 เม.ย.64 เพื่อลดความเสี่ยงจากการเดินทาง และการไปใช้จ่ายจากมาตรการของรัฐ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งเรื่องนี้จะนำเข้าไปหารือในการประชุมครม.วันที่ 5 ม.ค.นี้ เพื่อหาข้อสรุป
- ททท.มือก่ายหน้าผาก เหตุโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ กิจกรรมการเดินทางหยุดนิ่ง จ่อหั่นเป้าท่องเที่ยวในประเทศอีกรอบ วิ่งพล่านหาซอฟท์โลนช่วยผู้ประกอบการ รอลุ้นคลังเห็นชอบตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวอีกรอบ สศค.ยิ้มแก้มปริเที่ยวด้วยกันดันเงินสะพัด 2 หมื่นล้านบาท