ทองคำปรับลงกว่า 2% เหตุดอลลาร์รีบาวน์ - ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯพุ่ง
· ราคาทองคำปรับตัวลดลงกว่า 2% หลังจากดลอลาร์รีบาวน์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับขึ้น ท่ามกลางนักลงทุนที่ขานรับกระแสพรรคเดโมแครตชนะเลือกตั้งรัฐจอร์เจีย
· ราคาทองคำปรับตัวลงประมาณ 2.2% ที่ 1,907.21 เหรียญ หลังจากที่ช่วงต้นตลาดปรับขึ้นไปทำสูงสุดรอบเกือบ 2 เดือนที่ 1,959.01 เหรียญ ด้านสัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด -2.3% ที่ 1,908.60 เหรียญ
· SPDR เมื่อวานนี้ไม่ได้ทำอะไร โดยปัจจุบันถือครองเท่าเดิมที่ระดับ 1186.78
· นักวิเคราะห์จาก BMO กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯเป็นตัวที่ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับขึ้นเหนือ 1% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และกดดันให้เกิดแรงเทขายในตลาดทองคำ ประกอบกับตลาดมีคำสั่ง Stop Orders หากต่ำกว่า 1,940 และ 1,935 เหรียญลงมา ดังนั้นระดับ 1,900 เหรียญ จึงถือเป็นระดับสำคัญมาก ซึ่งหากระยะสั้นยังยืนได้เหนือบริเวณดังกล่าวจะบ่งชี้ว่าตลาดยังเป็นขาขึ้น
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าตลาดยังมีโอกาสที่จะเห็นแรงซื้อกลับจากชัยชนะของพรรคเดโมแครตในทำเนียบขาว ที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงไม่น่าจะส่งผลลบต่อราคาทองคำ
· กรรมการผู้จัดการซื้อขายยจาก High Ridge Futures มองว่า ทองคำเผชิญแรงเทขายทำกำไรเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น และโอกาส Blue Wave ในวุฒิสภาสหรัฐฯก็อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า จึงจะเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำและซิลเวอร์ในระยะยาว
· ซิลเวอร์ปิด -2% ที่ 27 เหรียญ ขณะที่แพลทินัมปิด -0.9% ที่ 1,102.04 เหรียญ หลังจากที่ทั้งคู่ปรับขึ้นไปได้กว่า 3% ในช่วงต้นตลาด
· ราคาพลาเดียมปิด -1.5% ที่ 2,430.39 เหรียญ หลังจากที่ช่วงต้นตลาดปรับตัวลงไปกว่า 3%
· ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่
· รายงานประชุมเฟดเดือนธ.ค. สะท้อนว่า ตลาดจะได้รับสัญญาณแจ้งเตือนมากมายก่อนที่จะเฟดจะตัดสินใจลดการเข้าซื้อพันธบัตร
รายงานการประชุมเมื่อ 15-16 ธ.ค. ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เฟดยังคงตรึงดอกเบี้ยระดับต่ำ และจะส่งสัญญาณว่าจะทำการปรับลดการเข้าซื้อพันธบัตร โดยปัจจุบันเฟดมีการเข้าซื้อพันธบัตรไม่น้อยกว่า 1.2 แสนล้านเหรียญ โดยเฟดจะคงการเข้าซื้อพันธบัตรต่อไปจนกว่าจะเห็นความคืบหน้าของแนวทางการดำเนินนโยบายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อและการจ้างงาน
ทั้งนี้ เฟดมีมติเอกฉันท์ในการติดตามจากผลลัพธ์เพื่อปรับแนวทางการดำเนินนโยบายให้เมาะสม ดังนั้นตลาดจึงน่าจะได้รับสัญญาณมากมายจากเฟดก่อนที่เฟดจะตัดสินใจปรับลดการเข้าซื้อพันธบัตร
· สถาบัน ADP ชี้ จ้างงานเอกชนสหรัฐฯหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เม.ย. จากการระบาดของ Covid-19 กระทบการเติบโตตลาดแรงงาน
รายงานจาก ADP ระบุว่า ข้อมูลจ้างงานเอกชนสหรัฐฯประจำเดือนธ.ค. หดตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงต้นที่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยหดตัวลง -123,000 ราย สะท้อนถึงสัญญาณชะลอตัวทางเศรษฐกิจก่อนปิดปี 2020
· “เดโมแครต” เอาชนะศึกเลือกตั้งผู้แทนสมาชิกวุฒิสภารัฐจอร์เจีย สร้างโอกาสการเพิ่มเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจ 2,000 เหรียญ และโครงการอื่นๆของ “ไบเดน”
ในการเลือกตั้งผู้แทนส.ว. เมื่อวานนี้ พบว่า สมาชิกจากพรรคเดโมแครตจำนวน 2 รายสามารถเอาชนะการแข่งขั้นในรัฐจอร์เจียได้ทั้งคู่ ส่งผลให้ในวุฒิสภาสหรัฐฯพรรคเดโมแครตมีจำนวนที่นั่งในวุฒิสภาเพิ่มเป็น 50 ที่นั่งเท่ากับรีพับลิกัน และน่าจะเอื้อประโยชน์ต่อการผลักดันนโยบายของนายไบเดน
นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากวุฒิสภา และนายชัค ชูมเมอร์ส ผู้นำเสียงข้างน้อยจะทำการตัดสินใจต่อจากนี้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวุฒิสภาสหรัฐฯ
การปราศจากแรงหนุนเพิ่มของรีพับลิกันทำให้นายไบเดนมีโอกาสผ่านร่างกฎหมายต่างๆรวมทั้งเรื่องข้อกฎหมายด้านสภาพอากาศและวงเงิน 2 ล้านล้านเหรียญสำหรับแผนเศรษฐกิจที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนผ่านของพลังงานสะอาดที่รวดเร็วขึ้น มีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระทรวงไฟฟ้าภายในปี 2035 โดยตั้งเป้าหมายที่จะลดการปล่อยมลภาวะให้อยู่ในระดับศูนย์ภายในปี 2050
ขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมบางรายกังวลว่าการที่คะแนนเสียงในวุฒิสภามีเท่าๆกันอาจไม่เพียงพอให้เกิดการดำเนินการอย่างจริงจังตามที่เดโมแครตคาดหวังได้
· เมื่อคืนนี้ตามเวลาไทยประมาณตี 1 จะเป็นกำหนดการที่สภาคองเกรสสหรัฐฯจะทำการรับรองชัยชนะเลือกตั้งให้แก่ “นายไบเดน ด้วยคะแนน 306” ขณะที่นายทรัมป์และพรรคพวกพยามคัดค้าน ด้วยข้อกล่าวหาการโกงเลือกตั้ง ทำให้ใช้เวลาหลายวันในการรับรองผลอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ การประกาศรับรองผลคะแนนเลือกตั้ง จะเรียงลำดับรัฐตามตัวอักษร
· กลุ่มผู้สนับสนุนนายทรัมป์บุกทำเนียบ ประท้วงการรับรองชัยชนะของไบเดน กลายมาเป็นการใช้ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
· ด้านหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯเข้ารวบตัวหลังเกิดการจลาจลในสภาคองเกรส เนื่องจากไม่พอใจที่จะมีการประกาศยืนยันชัยชนะของนายไบเดน เนื่องจากพวกเขายังเชื่อมั่นในชัยชนะของนายทรัมป์
ด้านนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกพาตัวออกจากสถานที่เป็นการด่วน หลังจากที่สถานการณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มใช้ความรุนแรงและมีการปิดล้อมอาคาร
กลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าถึงสภาคองเกรสและได้เกิดเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภายในสภา โดยได้มีการฉีดแก็สน้ำตา ไล่ผู้ประท้วงออกไป ซึ่งมีการรายงานว่ามีการยิงปืนเกิดขึ้นโดยมีตำรวจบาดเจ็บหลายรายและมีผู้เสียชีวิต 1 คน
· “ไบเดน” ประณามการก่อเหตุจลาจลที่สภาคองเกรส พร้อมเรียกร้องให้นายทรัมป์ ยุติการปิดล้อมอาคาร
· “ทรัมป์ออกมาเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนตน “เดินทางกลับบ้าน” แต่ไม่วายกล่าวย้ำถึงข้อผิดพลาดและการถูกโกงการเลือกตั้ง
· สถานการณ์ล่าสุดสภาคองเกรสกลับสู่กระบวนการยืนยันรับรองผลชัยชนะนายไบเดน หลังเผชิญกับความวุ่นวายอย่างหนักจากกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์
· สหรัฐฯเรียกร้องให้ภาคบริษัทต่างๆปฏิบัติตามคำสั่งห้ามใหม่ในเรื่องการลงทุนกับจีน ในการต่อต้านการให้การสนับสนุนกองกำลังทางทหารของจีน
· คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ กล่าวในการประชุมสภาคองเกรสของเกาหลีเหนือ โดยระบุถึงแผนที่จะขยายการสนับสนุนทางทหารเพื่อให้เกิดความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศให้ดีขึ้น
· องค์กรยาของสหภาพยุโรป (EMA) อนุมัติวัคซีน Covid-19 ของบริษัท Moderna เพื่อให้สามารถใช้ในยุโรป ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่มีการกระจายวัคซีนอย่างล่าช้า
Moderna ถือเป็นบริษัทที่ 2 ที่ได้รับการอนุมัติใช้วัคซีน แต่อังกฤษถือเป็นที่แรกที่ใช้งานได้ก่อนจากการอนุมัติก่อน
ความแตกต่างของนักกฎหมายแต่ละประเทศดูจะเพิ่มความวิตกกังวลมากขึ้นว่าอียูจะกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนได้ล่าช้ามากเกินไป โดยจะเห็นได้ว่า
- ฝรั่งเศสมีการฉีดวัคซีนในสัปดาห์แรกไป 516 ราย
- เยอรมนีเพิ่งฉีดวัคซีนได้จำนวน 240,000 รายในวันอาทิตย์
- เนเธอร์แลนด์ยังไม่เริ่มต้นฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน
· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาสะสมทั่วโลกทะลุ 87.57 ล้านราย โดยล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายวันที่ 750,075 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมรวมที่ 1.88 ล้านราย
ยอดติดเชื้อในสหรัฐฯสะสมล่าสุดเหนือ 21.82 ล้านราย โดยมียอดติดเชื้อรายวันใหม่เพิ่มขึ้นที่ 235,722 ราย และมียอดเสียชีวิตสะสมรวม 369,448 ราย
· รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศภาวะฉุกเฉินกรุงโตเกียวและ 3 จังหวัดใกล้เคียง เพื่อจำกัดการระบาด โดยจะมีผลตั้งแต่ 8 ม.ค. – 7 ก.พ.
· ยอดติดเชื้อในไทยก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทะลุ 9,000 ราย โดยเมื่อวานนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 365 ราย รวมสะสม 9,331 ราย โดยแบ่งเป็นคนไทยติดเชื้อในประเทศ 250 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 66 ราย แ
ล่าสุดไทยติดเชื้อ 56 จังหวัดติดโควิด ‘ชลบุรี’ เจอรายใหม่มากสุด 80 คน
เพิ่มทั่วไทย เมืองเลยเจอติดเชื้อ Covid-19 เพิ่ม 2 ราย เป็นชายขายอาหารตามสั่งในกทม. และเดินทางมาภูกระดึงในช่วงวันที่ 3 ม.ค. และเป็นผู้หญิงเร่ขายลอตเตอรี่ในสมุทรสาคร
ด้านกทม. เผยแม่ค้าติดเชื้อ จมูกไม่ได้กลิ่น - กิน MK ห้างดัง (Market Place) ล่าสุดเพื่อนร่วมรับประทานอาหารที่ Groove Evening เสียชีวิตแล้วจากการติดเชื้อ Covid-19
ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์ Covid-19 กระทรวงสาธารณสุข จ. นนทบุรี เผย การติดเชื้อจากสถานบันเทิงและร้านอาหารย่านปิ่นเกล้า ติดเชื้อเพิ่ม 23 ราย รวมทะลุ 105 รายเป็นที่เรียบร้อย
การทางพิเศษเผย หัวหน้าพนักงานเก็บค่าทางผ่านพิเศษระดับ 4 “ด่านเทพารักษ์ 4” ติดเชื้อ Covid-19 ส่งผลให้เส้นทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ประกาศปิดด่านเพื่อฆ่าเชื้อถึง 8 ม.ค. นี้
นายกฯ ย้ำ คนไทยฉีดวัคซีนโควิด-19 ฟรี ระยะยาวหวังดันเป็น Medical Hub
สาธารณสุขไทย-เตรียมฉีดวัคซีนโควิดฟรี 70 ล้านโดส ล็อตแรกเข้าไทยปลายกุมภาพันธ์
โดยไทยมีการเจรจาของบริษัท AstraZeneca-Oxford ด้วยการทำสัญญา 26 ล้านโดส อยู่ระหว่างการผลิตในประเทศไทย คาดว่าปลายเดือนพฤษภาคมนี้ น่าจะได้ฉีดให้กับคนไทย
อีกร้อยละ 20 จึงมีการเจรจาร่วมกับโคแวกซ์ (COVAX) แต่เป้าหมายมีการปรับเปลี่ยนเนื่องจากมีความยุ่งยาก เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป และอีกร้อยละ 10 ทำข้อตกกับบริษัทที่คิดว่ามีโอกาสผลิตวัคซีนสำเร็จ
อย่างไรก็ดี ไทยมีความพยายามเจรจากับหลายฝ่าย ทั้ง Pfizer และ Moderna รวมทั้งวัคซีนประเทศจีน และอาจจะขอซื้อเพิ่มเติมจาก AstraZeneca เพื่อจะเพิ่มให้ถึงเป้า
ทั้งนี้ บริษัทซิโนแวค ไบโอเทค (Sinovac Biotech) จะนำวัคซีน 2 แสนโดส เข้ามาไทยในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้อย่างแน่นอน และอีก 8 แสนโดสช่วงปลายเดือนมีนาคม ขณะที่ปลายเดือนเมษายน เข้ามาอีก 1 ล้านโดส รวมทั้งหมดเป็น 2 ล้านโดส
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข กำลังเร่งจัดหาสถานที่ตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม เพื่อรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ และจังหวัดภาคตะวันตก
หลายจังหวัดคุมเข้มโควิด ประกาศปิดพื้นที่เสี่ยง รัฐบาลรอเคาะมาตรการเยียวยา
มาตรการเยียวยาผลกระทบโควิดให้ครอบคลุมคนไทย 40 ล้านคนในอีก 2 เดือนข้างหน้า ต้องจับตาดูคาดว่าจะเป็นการช่วยเหลือเหมือนการระบาดรอบที่แล้ว เช่น การลดค่าครองชีพ ลดค่าน้ำ ค่าไฟ โดยจะดำเนินการคู่ขนานไปกับโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกัน ที่จะมีการขยายระยะเวลาออกไป
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มองว่าการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหยุดชะงัก การท่องเที่ยวในประเทศไม่สามารถเดินต่อไปได้ชั่วคราว หลังมีมาตรการเข้มงวดจำกัดการเดินทางในหลายจังหวัด คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือน โดยเสนอให้ต่ออายุโครงการคนละครึ่งและเพิ่มงบการใช้จ่ายต่อบุคคลเป็น 5,000 บาท และออกมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน เช่น ลดค่าไฟ 5%
ขอให้ประชาชนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด คือ สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด งดหรือชะลอการเดินทางเข้า จ.เชียงใหม่ โดยไม่จำเป็นเร่งด่วน จนถึง 1 ก.พ. หากมีความจำเป็นต้องแสดงหลักฐานการได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ในท้องที่ภูมิลำเนาของผู้เดินทาง
ความคืบหน้าล่าสุด ศบค. แจ้งว่ากรณีผู้ที่อยู่ใน 23 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด การจะเดินทางข้ามจังหวัดจะยุ่งยากมากขึ้น ต้องได้รับการคัดกรองจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจ ติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ และมีการสอบถามความจำเป็นในการเดินทาง