เดโมแครตครอง "คองเกรส" อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงใหม่แก่ตลาดหุ้น แต่ไม่อาจหยุดยั้ง "ตลาดขาขึ้น"
รายงานของ CNBC ระบุว่า การที่พรรคเดโมแครตเข้าครองสภาคองเกรสได้สำเร็จอาจช่วยหนุนให้ตลาดยังอยู่ใน "สภาวะขาขึ้นได้ต่อ" อันเนื่องจาก *การใช้จ่ายทางการเงินครั้งใหญ่* จึงอาจบดบังอุปสรรคใหม่ของตลาดจากเรื่องการขึ้นภาษี และการขึ้นดอกเบี้ยไปได้
กระแสการคว้า 2 เสียงสำคัญในการเลือกตั้งผู้แทนสภาคองเกรสรัฐจอเจีย ดูจะเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดพันธบัตรและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีให้ปรับตัวลดลง ขณะที่หุ้นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมและส่วนอื่นๆดูจะมีแรงหนุนจากการจะเพิ่มค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ขากรัฐบาลสหรํฐฯ
หัวหน้าฝ่ายกลยุทู์การตลาดจาก QMA กล่าวว่า ตลาดดูจะเชื่อมั่นในทีมบริหารของนายไบเดน และการครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสของพรรคเดโมแครต จตจึงทำให้เรื่องการขึ้นภาษีที่เป็นปัจจัยลบถูกบดบังไปจากการเพิ่มค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา แต่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก็อาจไม่ก่อให้เกิดผลบวกต่อตลาดหุ้น 100% แต่ภาพรวมตลาดน่าจะตอบรับในเชิงบวก
โดยจะเห็นได้ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนนายทรัมป์ได้ออกมาต่อต้านสภาคองเกรสในการยืนยันผลคะแนนเลือกตั้งให้แก่นายไบเดนอย่างเป็นทางการ ขณะที่นายทรัมป์ยังคงอ้างว่าผลคะแนนผิดพลาดและเขาเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ
นักกลยุทธ์บางส่วนมองว่า "ความแข็งแกร่งของสหรัฐฯ" ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาบันหรือทางกฎหมาย ทั้งหมดนี้จะเป็นปัจจัยหลักต่อตลาด และจะเห็นได้ว่า
หัวหน้้านักกลยุทธ์จาก CFRA กล่าวว่า ทุกๆครั้งที่มีประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ตั้งแต่ยุคนายวูดดรอ วิลสัน ที่สามารถได้เสียงสนับสนุนจากทั้งสภาล่างและสภาสูง ก็จะเห็น ตลาดค่อนข้างเคลื่อนไหวได้ดี โดยตลาดหุ้นเฉลี่ยปรับขึ้นได้ราว 11.3% ในช่วงปีแรกของการรับตำแหน่ง จะมีเพียงไม่กี่คนที่รับตำแหน่งแล้วหุ้นเข้าสู่แดนลบ
ภาษีอาจเพิ่มสูงขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs คาดว่ามาตรการเศรษฐกิจชุดต่อไปอาจเกิดขึ้นได้ประมาณ 6 แสนล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 2.7% ของจีดีพี ซึ่งปัจจัยนี้จะเป็นตัวจำกัดการปรับขึ้นภาษีและการเพิ่มค่าใช้จ่ายในช่วงที่เหลือของปี
ขณะที่นักวิเคราะห์บางราย คาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดแรกเกิดขึ้นก่อนที่ทีมบริหารไบเดนจะมา อาจมีการผลักดันให้เกิดการจ่ายเช็คต่อคนที่ราว 1,400 เหรียญ รวมถึงการระดมทุนสำหรับรัฐต่างๆ และรัฐบาลท้องถิ่น ประกอบกับการขยายสวัสดิการคนว่างงานได้ จึงมีโอกาสที่แพ็คเกจของนายไบเดนอาจพุ่งสูงราว 1 ล้านล้านเหรียญ
จากนั้นพรรคเดโมแครตจะตามมาด้วยการผลักดันแพ็คเกจค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานรอบ 2 ที่มุ่งเน้นไปยังเรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ, พลังงานสะอาด, สาธารณสุข และการศึกษา
กลุ่มนักกลยุทธ์การเมือง คิดว่า พรรคเดโมแครตอาจมีการเพิ่มภาษีบริษัทจาก 21% เป็น 25% หลังจากที่ียุคของนายทรัมป์มีการหั่นภาษี ขณะที่นายไบเดนมองว่าอาจขึ้นได้มากถึง 28% และ การได้เสียงข้างมากทั้งสองสภาจะทำให้เกิดการผลักดันได้ง่ายขึ้นจากพรรคของเขาเอง
อย่างไรก็ดี ภาษีคนรวยอาจมีผลบังคับใช้เกิดขึ้นได้ในปีนี้ จากปัจจุบันที่ 37% เป็น 39.6% ด้านภาษีเงินทุนและส่วนบุคคลอาจเพิ่มจาก 20% เป็น 25%
แต่เดโมแครตก็อาจขึ้นภาษีได้น้อยนปีนี้ จากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา เป็นสำคัญ
หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาดจาก Prudential Financial กล่าวว่า เศรษฐกิจกำลังมีการฟื้นตัว ในขณะที่การระบาดของไวรัสก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงก่อให้เกิดคำถามตามมาว่าจะส่งผลให้เกิดการขึ้นภาษีอย่างไร?
และอีกหนึ่งคำถามสำคัญคือ การที่สองพรรคมีที่นั่งในวุฒิสภา 50-50 จะช่วยดันข้อกฎหมายดังกล่าวได้จริงหรือไม่ และเราอาจเห็นความยุ่งยากมากขึ้นในปี 2022 เนื่องจากจะเกิดการเลือกตั้งกลางเทอม และนี่จะทำให้เกิดการเสียที่นั่งในสภาฯได้
หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Citigroup ไม่คาดว่า การขึ้นภาษีจะมีผลบังคับใช้ได้ในปีนี้โดยเฉลี่ยภาษีบริษัทอาจถูกเก็บเพิ่มราว 9 เหรียญจาก 8 เหรียญ หากผลประกอบการในกลุ่มบริษัท S&P500 โตได้ 169 เหรียญในปี 2021 ดังนั้น Covid-19 จึงถือเป็นเรื่องท้าทาของภาครรัฐได้ฯ
นักวิเคราะห์บางราย ไม่เชื่อว่าตลาดหุ้นจะเป็น "ขาลง" และยังคาดว่าตลาดหุ้นจะยังขึ้นได้ แต่ก็ไม่คิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับผลตอบแทนของ S&P500 เช่นกัน แต่คุณอาจเห็นได้ถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ และการกลับมาลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฎจักรมากขึ้น อาทิ ภาคธนาคารและพลังงาน
การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ
นักเศรษฐศาสตร์จาก Bank of America มีมุมองว่าจะเห็นการเพิ่มนโยบายทางการเงินและอาจช่วยให้ "ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงขาขึ้น" ได้จากแนวโน้มเศรษฐกิจและคาดการณ์เงินเฟิอ พร้อมคาดอาจเห็นพรรคเดโมแครตผลักดันการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2-4 ล้านล้านเหรียญ สำหรับงบประมาณ 10 ปี
แต่การเพิ่มวงเงินก็อาจตามมาด้วยระดับหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้นได้ และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรนั้นปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่คำถามที่ว่า เฟดจะดำเนินการในเรือ่งนี้อย่างไร?
นักเศรษฐศาสตร์จาก Jefferies มองกลับด้านกันว่า เฟดอาจมีการถอนนโยบายผ่อนคลายทางการเงินฉบับพิเศษเร็วกว่าคาด สิ่งนี้ก็อาจเป็นเรื่องที่น่ากังวลต่อตลาดได้ว่า เฟดจะทำการลดการเข้าซื้อพันธบัตร ที่อาจทำให้ตราสารหนี้เพิ่มจำนวนและหนี้สูงขึ้น สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลกับความสามารถของเฟด รวมทั้งความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายของเฟด
อย่างไรก็ดี เฟดอาจมีการถอนนโยบายผ่อนคลายเร็วกว่าที่คาด "หากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจริงๆ" ดังนั้น เม็ดเงินนับล้านล้านเหรียญที่จะเข้าสู่ประเทศช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าก็อาจไปหนุนให้จีดีพีเฉลี่ยโตเพิ่มราว 2% จึงอาจช่วยปิดช่องว่างของผลผลิตโดยรวมราว 4-6 ไตรมาสได้ และอาจทำให้เฟดอาจถอนนโยบายออกจากปี 2024 มาเป็นต้นปี 2023 ได้
การถอนนโยบายหรือลดการเข้าซื้อพันธบัตรของเฟดจะเป็นสิ่งที่กดดันให้เกิดแรงเทขายในตลาดพันธบัตร จึงคาดว่าความเสี่ยง ณ ขณะนี้ คืออัตราผลตอบแทน 10 ปีของสหรัฐฯอาจพุ่งแตะ 2% ได้ในช่วงสิ้นปีนี้ จากเดิมที่คาดไว้ที่ 1.3%
ที่มา: CNBC