• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 7 มกราคม 2564

    7 มกราคม 2564 | SET News

·         Citi ไม่คิดว่าจะเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นได้ต่อปีนี้

Citi Bank คาดว่า หุ้นทั่วโลกปีนี้มีแนวโน้ม "ทรงตัว" หรืออยู่ในกรอบมากกว่า พร้อมลดมุมมองหุ้นสหรัฐฯอยู่ในทิศทาง "เคลื่อนไหวในกรอบ" อันเนื่องจาก Lockdown ของการระบาด Covid-19 รอบใหม่จุดประกายความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ดี Citi มีการปรับเพิ่มตลาดเกิดใหม่และหุ้นอังกฤษอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น จากมูลค่าหุ้นและผลประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับคาดการณ์ที่ว่า "ดอลลาร์จะอ่อนค่าต่อ" มีแนวโน้มหนุนทิศทางเชิงบวกของตลาด

อย่างไรก็ดี การซื้อขายตลาดหุ้นทั่วโลกจำนวน 20 ครั้งใน 12 เดือนที่มีการส่งสัญญาณชี้นำผลประกอบการ ไม่คิดว่าจะเห็นมูลค่าหุ้นเพิ่มสูงขึ้นเหนือค่ากลางระยาว 15 ครั้งของการประกาศรายงานผลประกอบการ

 

·         ดัชนีอนุพันธ์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นตามการปิดบวกของ 3 ดัชนีหลัก แม้ตลาดจะผันผวนจากเหตุความวุ่นวายในสภาคองเกรสสหรัฐฯ

โดยดัชนีหุ้นสหรัฐฯฟิวเจอร์สวันนี้ นำโดยดาวโจนส์ปรับขึ้นต่อ 125 จุดดัชนี S&P500 ฟิวเจอร์ส ปรับขึ้นต่อ 0.6% ขณะที่ Nasdaq 100 ฟิวเจอร์สขยับขึ้น 0.9%


·         พันธบัตรปรับตัวลดลง ขณะที่หุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น จากการคาดการณ์ว่าจะมีการกู้ยืมจำนวนมากและการใช้จ่ายจำนวนมากของฝ่ายบริหารพรรคเดโมแครตที่ผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากสมาชิกจากพรรคเดโมแครตจำนวน 2 รายสามารถเอาชนะการแข่งขั้นในรัฐจอร์เจียได้ทั้งคู่ ส่งผลให้ในวุฒิสภาสหรัฐฯพรรคเดโมแครตมีจำนวนที่นั่งในวุฒิสภาเพิ่มเป็น 50 ที่นั่งเท่ากับรีพับลิกัน และน่าจะเอื้อประโยชน์ต่อการผลักดันนโยบายของนายไบเดน

ความเชื่อมั่นด้านสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลดลงชั่วคราว จากลุ่มผู้สนับสนุนนายทรัมป์บุกทำเนียบ ประท้วงการรับรองชัยชนะของไบเดน แต่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.6% และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ Nasdaq 100 เพิ่มขึ้น 0.8% ในช่วงการซื้อขายตลาดเอเชีย

ขณะที่ดัชนี ฟิวเจอร์ส FTSE เพิ่มขึ้น 0.4% และฟิวเจอร์ส EuroSTOXX 50 เพิ่มขึ้น 0.2%

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.7%

 

·         ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนี Nikkei ปิด +1.60% ที่ระดับ 27,490.13 จุด ซึ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปี 1990 โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงินเนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเพิ่มขึ้นจากความหวังของการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากขึ้นหลังจากพรรคเดโมแครตคว้าชัยชนะวุฒิสภาในรัฐจอร์เจีย

ด้านดัชนี Topix +1.68% ที่ระดับ 1,826.30 จุด ซึ่งปรับสูงขึ้นเหนือจุดสูงสุดเมื่อปลายปีที่แล้วไปถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน.ต.ค. ปี 2018 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงไม่ได้ลดลงจากความวุ่นวายในวอชิงตัน หลังจากผู้สนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บุกทำเนียบ ประท้วงการรับรองชัยชนะของไบเดน

 

·         ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 6 วันทำการ โดยดัชนี  blue-chip เพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มผู้บริโภคและภาคการเงิน

โดยดัชนี Shanghai Composite ปิด +0.71% ที่ระดับ 3,576.20 จุด ด้านดัชนี blue-chip CSI300 +1.77% ที่ระดับ 5,513.66 จุด และดัชนี ChiNext Composite ปิด +1.519%

ด้านดัชนี Shenzhen ปิด -0.08%

ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของตลาดยังได้รับการสนับสนุนจากคำมั่นสัญญาของธนาคารกลางที่จะรักษานโยบายการเงินให้ผ่อนคลาย โดยกล่าวว่า จะทำให้นโยบายการเงินมีความยืดหยุ่น กำหนดเป้าหมายและเหมาะสมในปี 2021 โดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนบริษัทขนาดเล็ก ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ




·         ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น หลังจากการได้รับชัยชนะของพรรคเดโมแครตในศึกการเลือกตั้งผู้แทนสมาชิกวุฒิสภาในรัฐจอร์เจีย หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่น่าทึ่งเมื่อผู้สนับสนุนนายทรัมป์ก่อเหตุจลาจลที่สภาคองเกรส

โดยดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 0.6% ด้านหุ้นกลุ่มทรัพยากรพุ่งขึ้น 2.5% ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 0.3%

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

ปิดเช้าพุ่ง 22.09 จุด สอดคล้องตลาดตปท.คาดหวังมาตรการกระตุ้นศก.สหรัฐฯ

ตลาดหลักทรัพย์ฯปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,514.45 จุด เพิ่มขึ้น 22.09 จุด (+1.48%) มูลค่าการซื้อขายราว 63,203 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,514.73 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,502.81 จุด

 

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ธ.ค.อยู่ที่ 50.1 ลดลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือน

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.63 อยู่ที่ 50.1 จาก 52.4 ในเดือน พ.ย.63 โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 43.5 จาก 45.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 47.5 จาก 50.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 59.2 จาก 61.6

ปัจจัยลบ ได้แก่ ความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ที่เป็นวงกว้างและรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและบริการต่างๆคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 64 จาก 3.6% มาที่ 3.2% จากสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศที่ยืดเยื้อและรุนแรงกว่าที่คาด ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เปิดรับได้จะจำกัดกว่าที่ประเมินไว้


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com