• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 8 มกราคม 2564

    8 มกราคม 2564 | Gold News

ทองคำปิดอ่อนตัวลงจากดอลลาร์แข็งค่าและผลตอบแทนพันธบัตรปรับขึ้

· ราคาทองคำปรับตัวลดลงเพราะได้รับแรงกดดันจาก “อัตราผลตอบแทนพันธบัตรและดอลลาร์ที่ปรับสูงขึ้น” แต่โอกาสจะเกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการสนับสนุนของพรรคเดโมแครตดูจะช่วยจำกัดการอ่อนตัวลงของราคาทองคำ

· SPDR เมื่อวานนี้ทำการขายออกมา 4.67 ตัน โดยปัจจุบันถือครองที่ระดับ 1182.11


· ราคาทองคำตลาดโลกปิด -0.3% ที่ 1,913.87 เหรียญ


· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด +0.3% ที่ระดับ 1,913.60 เหรียญ


· ราคาทองคำปรับตัวลงไม้น้อยกว่า 2% นับตั้งแต่ที่ทำสูงสุดตั้งแต่ 9 พ.ย. บริเวณ 1,960 เหรียญ โดยประมาณ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปรับขึ้นเหนือ 1% ได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่มี.ค.ปีที่แล้ว จึงกดดันความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย และการแข็งค่าของดอลลาณ์ก็กดดันทองคำ แม้ว่านักวิเคราะห์หลายฝ่ายจะมองว่าดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้เพียงระยะสั้นๆเท่านั้น


· นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered กล่าวว่า การที่พรรคเดโมแครตจะครองชัยชนะรัฐจอร์เจียได้ช่วยหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ให้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ “เงินเฟ้อ” ที่อาจจะสูงขึ้นและเป็นผลดีต่อราคาทองคำ


· นักวิเคราะห์อาวุโสทางด้านเทคนิคของ Kitco คาดว่า ในทางเทคนิคทองคำไม่น่าอยู่ในภาวะ Overbought นานเกินไป และจะยังมีแนวต้านสำคัญที่ 1,965 เหรียญ ขณะที่แนวรับระยะสั้นของทองคำอยู่บริเวณ 1,894 เหรียญ แต่ทองคำเข้าสู่ภาวะขาลงมากขึ้น จากดอลลาร์ที่แข็งค่า ดังนั้น ภาพหลักของทองคำยังเป็นขาขึ้นได้อยู่


· ราคาซิลเวอร์ปิด -1% ที่ 27.02 เหรียญ


· ราคาแพลทินัมปิด +0.8% ที่ 1,110.30 เหรียญ


· ราคาพลาเดียมปิด -1.2% ที่ 2,408.69 เหรียญ


· ดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นจากต่ำสุดปี 2018 จากความหวังทิศทางเศรษฐกิจ และแรงเทขายทำกำไรในยูโร โดยดัชนีดอลลาร์ปิด +0.53% ที่ระดับ 89.785 จุด หลังจากขึ้นไปทำสูงสุดของวันได้ที่ 89.979 จุด

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.43% ที่ 1.2272 ดอลลาร์/ยูโร


· นักบริหารการเงินยังคาด ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ มองกรอบระหว่าง 29.90-30.20 บาท/ดอลลาร์


· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาสะสมทั่วโลกทะลุ 88.44 ล้านราย โดยล่าสุดพบผู้ติดเชื้อเมื่อวานนี้วันเดียวเกือบ 800,000 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมรวมที่ 1.90 ล้านราย


ยอดติดเชื้อในสหรัฐฯสะสมล่าสุดเหนือ 22.10 ล้านราย โดยมียอดติดเชื้อรายวันใหม่เพิ่มขึ้นที่ 246,502 ราย และมียอดเสียชีวิตสะสมรวม 373,714 ราย


ยอดติดเชื้อในไทยก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทะลุ 9,000 ราย โดยเมื่อวานนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 305 ราย รวมสะสม 9,636 ราย โดยแบ่งเป็นคนไทยติดเชื้อในประเทศ 193 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 67 ราย

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อกระจายอยู่ใน 56 จังหวัด โดยจำแนะตามพื้นที่การรักษาได้ดังนี้
กรุงเทพฯและนนทบุรี 2,830 ราย
ภาคเหนือ 231 ราย
ภาคกลาง 5,652 ราย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 146 ราย
ภาคใต้ 777 ราย


· อังกฤษขยายเวลาสั่งห้ามนักท่องเที่ยวจาก 11 ประเทศในแถบแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศกัน Covid-19 สายพันธุ์ใหม่


· CEO จากบริษัทยา Moderna เผยว่า วัคซีน Covid-19 มีแนวโน้มจะช่วยป้องกันไวรัสได้ประมาณ 2-3 ปี


· นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก เชื่อว่า เฟดจะสามารถเริ่มขึ้นดอกเบี้ยได้ในปี 2024 จากเงินเฟ้อที่กลับสู่ระดับ 2% ขณะที่การดำเนินนโยบาย QE จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มของเงินเฟ้อเป็นสำคัญ โดยโอกาสที่จะเห็นอัตราว่างงานลดลงแตะ 5% จะช่วยให้เงินเฟ้อน่าจะกลับขึ้นมาแถว 2% ได้ในช่วงปลายปีนี้


· นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า หลังจบ Covid-19 ทิศทางเศรษฐกิจจะสดใส และอาจเห็นเงินเฟ้อปรับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว


· นายโธมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ มองโอกาสเห็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น และเงินเฟ้ออาจมาเร็วกว่าคาดการณ์ หนุนโอกาสการดำเนินนโยบายใหม่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดโมแครตสามารถผลักดันนโยบายได้ทั้ง 2 สภา


· CNBC ระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่ารายงานการจ้างงานสหรัฐฯเดือนธ.ค.จะอ่อนแอลงกว่าคาด จากผลกระทบของ Covid-19 โดยจะส่งผลลบต่อภาคธุรกิจ, การรับมือของผู้บริโภค และค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยอาจเห็นจ้างงานน้อยกว่าคาดได้ถึง 50,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานอาจพุ่งสูงกว่า 6.7% มาที่ 6.8%

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์การเงินจาก MUFG Union Bank คาดว่า มีโอกาส 50/50 ที่จะเห็นการจ้างงานสหรัฐฯแกว่งขึ้น 50,000 ตำแหน่ง และแกว่งลง 50,000 ตำแหน่งจากการฟื้นตัวและอ่อนตัวตามสถานการณ์ Covid-19


· CNBC เผยล่าสุด “ทรัมป์” ยอมรับครั้งแรกที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งต่ออย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.


· ทั่วโลกตระหนก หลังกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์โจมตีระบอบประชาธิปไตยของประเทศสหรัฐฯเอง


· เหตุจลาจลของกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ในสภาคองเกรส ทำให้ “ทรัมป์” ถูกแบนจากการเข้าถึง Facebook


· ผู้เสียภาษีชาวสหรัฐฯต้องจ่ายเม็ดเงินให้แก่ค่าซ่อมอาคารและจ่ายค่าประกันของรัฐบาลที่ได้รับความเสียหายจากการก่อเหตุจลาจลค้านการยืนยันผลเลือกตั้งในวันก่อน


· รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมประกาศลาออกหลังกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ก่อเหตุวุ่นวายวันก่อน


· พันธมิตรด้านธุรกิจเริ่มตีตัวออกจากนายทรัมป์ หลังเกิดเหตุจลาจลที่สภาคองเกรสวานนี้

จึงสร้างความไม่แน่นอนมากขึ้นว่าบรรดาผู้นำธุรกิจต่างๆเหล่านี้จะให้การสนับสนุนนายทรัมป์ต่อหากเขาลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้งในปี 2024 หรือไม่


· แหล่งข่าวเผย “ปอมเปโอ-มนูชิน” และเลขานุการณ์ณมีการหารือเกี่ยวกับข้อกำหดนการแก้ไขเรื่องเจ้าหน้าที่พนักงานครั้ง 25 ในการถอดถอนทีมบริหารของนายทรัมป์ และนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯน่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการหาแนวทางการลดผลกระทบของรายงานดังกล่าว


· สมาชิกสภาคองเกรสของเกาหลีเหนือกำลังหารือกับเกาหลีใต้ในเรื่องการดำเนินนโยบายการต่างประเทศ


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com