• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 8 มกราคม 2564

    8 มกราคม 2564 | SET News

· ภาคส่วนต่อไปนี้มีแนวโน้มจะสดใสขึ้นในปี 2021 หากอินเดียเลี่ยง Second Wave จาก Covid-19

กรรมการผู้จัดการจาก Kotak Mahindra Asset Management ระบุว่า หลายๆภาคส่วนสำคัญด้านบริการทางการเงินอาจเติบโตได้ดีในปีนี้หากอินเดียสามารถจัดการและหลีกเลี่ยงกับการระบาด Second Wave ได้

ดังนั้น เราจึงอาจเห็นการฟื้นตัวในหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัยและวัฎจักร ที่จะได้รับประโยชน์ โดยที่หุ้นวัฐจักรเป็นตัวที่สะท้อนถึงภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี โดยตลาดอินเดียดูจะตอบรับได้ดีในเดือนที่แล้วหลังจากที่เผชิญกับปัจจัยลบ

- แรงเทขายอย่างหนักตั้งแต่มี.ค.ปีที่แล้ว

- เศรษฐกิจจะยังหดตัวต่อเนื่องมา 2 ไตรมาสตั้งแต่ช่วงเม.ย. จากการ Lockdown

ภาพรวมอินเดียมียอดติเชื้อไวรัส Covid-19 สะสมมากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รวมกว่า 10.39 ล้านราย ขณะที่การเสียชีวิตอยู่ที่ 150,300 ราย แต่จะเห็นได้จากข้อมูลภาครัฐที่บ่งชี้ว่าอัตราการระบาดในประเทศนั้นค่อยๆลดลง


· Nasdaq เพิ่มบริษัทสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจีน "Niu Technologies" - หนุนหุ้นบริษัทดังกล่าวพุ่ง 16% หลังยอดขายเพิ่ม

โดยช่วงไตรมาสที่ 4/2020 บริษัทมียอดขาย E-Scooters กว่า 149,705 คัน หรือโตขึ้นได้มากถึง 40.9% เมื่อเทียบรายปี

ทั้งนี้ ในจีนมียอดขายมากถึง 137,586 คัน คิดเป็นยอดขายรวม 91% หรือเพิ่มขึ้นในประเทศกว่า 35% เมื่อเทียบรายปี

ขณะที่ยอดขายให้แก่ต่างประเทศอยู่ที่ราว 12,119 คันในช่วงไตรมาสที่ 4/2020 ทำให้ยอดขายเพิ่มสูงกว่า 179.6% เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงเดียวกันในปี 2019


· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดัชนี Nikkei แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ เนื่องจากเหล่านักลงทุนมองข้ามกรณียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นและความไม่สงบทางการเมืองในสหรัฐฯ เพื่อมุ่งเน้นไปที่ความหวังในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปลายปี

ดัชนีฟิวเจอร์ส S&P 500 e-mini เปิดปรับตัวสูงขึ้น 0.51% ที่บริเวณ 3,815 จุด

มุมมองเชิงบวกเกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯทำสถิติสูงสุด ขณะที่อัตราพันธบัตรลดลงเนื่องจากตลาดคาดว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะนำไปสู่การใช้จ่ายอย่างหนักและการกู้ยืมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 1.56%

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นปิดระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี ท่ามกลางความคาดหวังของมาตรการกระตุ้นทางการคลังของสหรัฐฯและผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ที่ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะเร่งตัวขึ้น

ดัชนี Nikkei ปิด +2.36% ที่ระดับ 28,139.03 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. ปี 1990 นำโดยหุ้นกลุ่มทรัพยากรและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

ด้านดัชนี Topix +1.57% ที่ระดับ 1,854.94 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปี 2018

ท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับแรงหนุนอย่างมากหลังจากที่พรรคเดโมแครตของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯเข้ามามีอำนาจควบคุมวุฒิสภาซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายทางการคลังจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา

ขณะที่แนวโน้มภาคเทคโนโลยีสดใสขึ้น หลังจากผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ Samsung Electronics Co Ltd และ Micron Technology Inc คาดการณ์ผลกำไรและรายได้ที่แข็งแกร่ง


· ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยดัชนี blue-chip CSI300 ลดลง 0.3% ที่บริเวณ 5,495.43 จุด ซึ่งลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ด้านดัชนี Shanghai Composite ลดลง 0.2% ที่บริเวณ 3,570.11 จุด เนื่องจากเหล่านักลงทุนเทขายทำกำไรหลังดัชนีปรับขึ้นติดต่อกัน 6 วันทำการ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีน

สำหรับภาพรวมรายสัปดาห์ ดัชนี CSI300 เพิ่มขึ้น 5.5% และดัชนี SSEC เพิ่มขึ้น 2.8% เนื่องจากเหล่านักลงทุนได้รับแรงหนุนจากข้อมูลและการสำรวจชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในเศรษฐกิจจีน

· หุ้นยุโรปปิดสัปดาห์แกร่ง - DAX พุ่งทำสูงสุดประวัติการณ์

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเหล่านักลงทุนทั่วโลกคาดการณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะนำไปสู่การสนับสนุนทางการเงินที่มากขึ้น โดยดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 0.7% ด้านหุ้นภาคการท่องเที่ยวและการพักผ่อนพุ่งขึ้น 2.7% ท่ามกลางตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนบวก

ดัชนี DAX เยอรมันนี เพิ่มขึ้น 0.8% หลังจากข้อมูลพบว่าทั้งผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันผู้ผลิตชิป Infineon, AMS และ ASM International เพิ่มขึ้น 2.2% และ 4.7% ตามลำดับ หลังจากบริษัทระดับโลก Micron Technology Inc และ Samsung Electronics Co Ltd รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

ด้านบริษัท STMicroelectronics ผู้ผลิตชิปสัญชาติฝรั่งเศส - อิตาลีเพิ่มขึ้น 4% หลังจากการประมาณการรายได้ในช่วงต้นของไตรมาสที่ 4 สูงกว่าช่วงก่อนหน้า


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ธปท.แจงทุนสำรองระหว่างประเทศ 30 ธ.ค.-1 ม.ค. อยู่ที่ US$ 257.8 พันล้าน

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศ วันที่ 30 ธ.ค.63-1 ม.ค.64 อยู่ที่ 257.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากวันที่ 25 ธ.ค.63 อยู่ที่ 255.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะเดียวกันฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิของไทย วันที่ 30 ธ.ค.63-1 ม.ค.64 อยู่ที่ 28.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ วันที่ 25 ธ.ค 63 อยู่ที่ 29.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เงินสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินบาทวันที่ 30 ธ.ค.63-1 ม.ค.64 อยู่ที่ 7,736.7 พันล้านบาท จาก 7,690.5 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.63

- ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายเศรษฐกิจ มหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนในปี2564 ว่า ยังคงมีความผันผวนโดยมีปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความผันผวนสูงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งหากประเทศใดมีข่าวว่าเกิดการแพร่ระบาดหนัก กระแสเงินทุนจะไหลออกจากประเทศนั้นอย่างฉับพลัน หรือหากมีการประกาศใช้วัคซีน กระแสเงินทุนมีแนวโน้มจะไหลกลับเข้ามา นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสภาพคล่องล้นโลก จากธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้ามาเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะภาคส่งออกตั้งรับ 'บาทแข็ง' หลุด 30 บาทยาว ตลอดปีได้เห็น 29-29.25 บาท/ดอลลาร์ แม้

ธปท.ผ่อนเกณฑ์หวังคลายเงินบาทอ่อนลงยังไม่ช่วย 'อินเตอร์โกลด์ฯ' ชี้ช่องจับ 3 แนวทางลงทุนทองช่วงขาขึ้นได้ไม่เจ็บตัว


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com