ในช่วง 2 วันทำการแรกในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯของนายโจ ไบเดน ก็ได้มีการลงนามคำสั่ง 10 ฉบับสำหรับการต่อสู้กับวิกฤต Covid-19 และให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยให้เป็นกิจวัตรประจำวันในการเดินทางสาธารณะ และออกคำสั่งโดยตรงกับหน่วยงานต่างๆ รวมถึงบริษัทสหรัฐฯที่ผลิตหน้ากากอนามัย N95 รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ทีเกี่ยวข้องกับวิกฤตไวรัสระบาดในเวลานี้
หน้ากากอนามัย
หลังจากที่ นายโจ ไบเดน เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46 ก็ได้ทำการลงนามคำสั่งฉุกเฉินกว่า 12 ฉบับ ณ ห้องทำงานที่ทำเนียบขาว ประกอบด้วย การเรียกร้องให้ทุกฝ่ายดำเนินการใส่ “หน้ากากอนามัย” ในชีวิตประจำวัน
โดยมีการเรียกร้องตั้งแต่การบังคับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ว่าการรัฐต่างๆ, เจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุข, นายกเทศมนตรี และบรรดาผู้นำภาคธุรกิจร่วมมือกันเป็นต้นแบบในการใส่หน้ากากอนามัย และกาปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
การเดินทาง
นายไบเดน เรียกร้องให้มีการสวมใส่หน้ากากอนามัยในการเดินทางด้วยขนส่งมวลชน ประกอบด้วย รถไฟ, รถโดยสาร และสายการบินต่างๆ
และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีผลการตรวจ Covid-19 เป็น “ลบ” เท่านั้น จึงจะสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศสหรัฐฯได้
นอกจากนี้ ยังออกคำสั่งโดยตรงไปยังหน่วยงานอื่นๆในการขยายมาตรการด้านสุขภาพสำหรับการเดินทางภายในประเทศ และการข้ามพรมแดน ตลอดจนการเดินทางผ่านทางทะเล
ห่วงโซ่อุปทาน
นายไบเดนมีคำสั่งโดยตรงด้วยการใช้กฎหมายพิเศษ “การผลิตเพื่อการป้องกัน” หรือ “Defense Production Act” เพื่อให้บริษัทด้านการผลิตต่างๆจำเป็นต้องร่วมมือกันสู้กับการระบาดของไวรัสครั้งนี้ ประกอบไปด้วย
การผลิตหน้าการอนามัย
การจัดหาอุปกรณ์หรือเครื่องมือในการทดสอบหาเชื้อ Covid-19
การผลิต-จัดเตรียมวัคซีน Covid-19
ซึ่งมาตรการดังกล่าวทีมบริหารของนายทรัมป์เคยใช้เพื่อให้กลุ่มผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์จำเป็นอื่นๆสำหรับทางการแพทย์
คำสั่งในชุดนี้ของนายไบเดน ถูกเรียกว่า “การจัดเตรียมห่วงโซ่อุปทานสาธารณะอย่างยั่งยืน” หรือ “A Sustainable Public Health Supply Chain,” รวมไปถึงคำสั่งตรงสำหรับ “กลยุทธ์ความก้าวหน้าด้านการจัดหาอุปกรณ์ต้าน Covid-19 ครั้งใหม่” เพื่อพยายามให้เกิดการผลิตที่เพียงพอภายในประเทศ เนื่องด้วยไบเดนมีมุมมองว่าปัญหาที่สหรัฐฯเผชิญคือ “การขาดการแก้ไขปัญหาด้านอุปทานที่ดีพอสำหรับวิกฤตครั้งนี้”
การสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐต่างๆ
ทีมบริหารของนายไบเดนหาวิธีเร่งกระจายวัคซีนให้เพิ่มมากขึ้นสำหรับหน่วยงานรัฐและรัฐต่างๆ รวมถึงการเร่งผลิตวัคซีนภายในประเทศให้เพิ่มขึ้น ควบคู่กับการใช้แผนการให้ความรู้แก่ประชาชนในประเทศ รวมไปถึงการยกเว้นการตรวจใบอนุญาตบางส่วน เป็นต้น
ทั้งนี้ นายไบเดนเคยให้คำมั่นว่าจะทำการ “จัดหาวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดส ในช่วง 100 วันแรกของการรับตำแหน่ง”
ที่ปรึกษาด้าน Covid-19 ของนายไบเดน แสดงความมั่นใจว่า ทีมบริหารของนายไบเดนจะจัดหาวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดสให้ได้ภายใน 100 วันแรกแน่นอน และสิ่งที่หลายๆฝ่ายเห็นเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งพวกเราต้องการให้เกิดวัคซีนมากพอที่สุดแก่ประชาชนเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ไม่ต้องการให้กระทบกับโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้ นายไบเดน ยังมีคำสั่งตรงไปยังหน่วยงานสำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง (Federal Emergency Management Agency) เพื่อให้จัดศูนย์กลางการฉีดวัคซีนแก่ชุมชุม 100 แห่งภายในเดือนหน้า ซึ่งเป็ฯส่วนหนึ่งของความพยายามในครั้งนี้ และต้องการเร่งให้เกิดการขยายและเข้าถึงเพื่อให้มีการรับวัคซีนให้ได้มากที่สุด
มาตรการ “COVID-19 Response Office”
สร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถจัดการกับ Covid-19 ได้ และมีการจัดตั้งโครงการ “COVID-19 Response Office” เพื่อให้เกิดการร่วมมือกันของหน่วยงานทั้งหมดภายในประเทศในการรับมือกับการระบาดของไวรัส และสร้างความชัดเจนในการสื่อสารระหว่างภาครัฐและประชาชนในทุกแง่มุมต่างๆ
การเก็บข้อมูล
นายไบเดน ลงนามคำสั่งตรงแก่สำนักงานและหน่วยงานต่างๆในการเพิ่มการเก็บข้อมูลและการแบ่งปันข้อมูลแก่ CDC เพื่อให้สามารถจัดการหาระดับการแพร่เชื้อในชุมชนหรือใช้วิธีการตัดสินใจจัดการกับพื้นที่นั้นๆอย่างชาญฉลาด
วิธีการรักษารูปแบบใหม่
แม้ว่าจะมีความพยายมเร่งเพิ่มการฉีดวัคซีนในประเทศ นายไบเดนก็มีการจัดตั้งหาแนวทางวิธีการรักษา Covid-19 ด้วย โดยเฉพาะการหาวิธีการรักษาแบบแอนตี้ไวรัส เหมือนกับการใช้ Remdesivir แบบบริษัท Gilead โดยเรียกคำสั่งฉุกเฉินฉบับนี้ว่า “Improving and Expanding Access to Care and Treatment for COVID-19”
พร้อมกันนี้จัดตั้งให้มีการค้นหายารักษารูปแบบใหม่ และความก้าวหน้าของโปรแกรมการรักษาที่ย้ำให้เห็นถึงความหลากหลายในการใช้งานทางการแพทย์ และยังมีการสนับสนุนให้เพิ่มแรงงานด้านสุขภาพในพื้นที่
การทดสอบหาเชื้อ
ในการจัดหายารักษารูปใหม่ นายไบเดนก็มีแผนจะให้เกิดการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีใหม่ๆเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อให้ครอบคลุม และสามารถเร่งตรวจหาเชื้อให้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะนำมาซึ่ง การควบคุมการระบาด และให้สถานศึกษารวมทั้งภาคธุรกิจต่างๆกลับมาปเปิดทำการได้อย่าง “ปลอดภัย” มากขึ้น จากการที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการตรวจเชื้อเป็นวงกว้าง
พร้อมกันนี้ มีการจัดเตรียมคู่มือสำหรับสถานศึกษาและภาคธุรกิจถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการใช้เครื่องมือตรวจสอบและการชะลอการระบาดของไวรัส เพื่อตัดวงจรการระบาด
การกลับมาเปิดสถานศึกษาและภาคธุรกิจ
ความต้องการกลับมเปิดสถานศึกษาและภาคธุรกิจถือเป็น “หัวใจหลัก” สำหรับแผนนี้ โดยนายไบเดนได้ทำการลงนามแผนที่สั่งตรงให้หน่วยงานด้านบริการสาธารณสุขและสังคม ทำการเก็บข้อมูลของสถานศึกษาที่กลับมาเปิดทำการและการระบาดของไวรัสโคโรนา และอนุญาตให้เกิดการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาความเสี่ยงเกี่ยวกับเด็กเล็กที่ต้องกลับสู่การเปิดภาคเรียน
แผนใหม่นี้ถูกเรียกว่า “The Occupational Safety and Health Administration” ที่เกิดขึ้นและเป็นบทบาทด้านการจัดการครั้งใหญ่ ในการให้คำแนะนำที่ชัดเจนแก่นายจ้างเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุดสำหรับสถานที่ปฏิบัติงานและการบังคับใช้กฎ
ความเท่าเทียม
นายไบเดน ยังมีการลงนามการจัดตั้ง “COVID-19 Health Equity Task Force” ซึ่งเป็นความเท่าเทียมกันทางด้านสุขภาพ เพื่อให้มั่นในว่า “วัคซีน, กระบวนการรักษา, หน้ากากอนามัย และสิ่งอื่นๆที่สำคัญ” จะเข้าถึงประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม เพื่อให้ลดอัตราการเสียชีวิตที่อยู่ในระดับสูงของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี แผนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยประมาณการณ์ค่าใช้จ่าย แต่เป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอฉบับใหม่ของแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญในสัปดาห์ที่แล้ว (American Rescue Plan) ที่จะประกอบด้วยวงเงิน
3.50 แสนล้านเหรียญ สำหรับรัฐบาลท้องถิ่นและหน่วยงานในท้องที่
1.70 แสนล้านเหรียญ สำหรับ K-12 ในส่วนของสถาบันการศึกษาและสถาบันระดับสูง
5.0 หมื่นล้านเหรียญ สำหรับการตรวจหาเชื้อ Covid-19
2.0 หมื่นล้านเหรียญ สำหรับโปรแกรมการฉีดวัคซีน
ดังนั้น ในภาพรวม ทีมบริหารของนายไบเดนจำเป็นต้องได้รับวงเงินจากสภาคองเกรสเพื่อนำมาใช้ปรับกลยุทธ์การบริหารประเทศดังกล่าว
ที่มา: CNBC