• CNBC ชี้ การกระจายวัคซีนCovid-19 ล่าช้าจะคุกคามแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

    22 มกราคม 2564 | SET News
 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นได้จากทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังเผชิญวิกฤตไวรัสโคโรนา และคาดว่าหกาได้รับวัคซีนเร็วๆนี้จะทำให้สถานการณ์ของชาวสหรัฐฯ มีการกลับมารับประทานอาหารที่ร้านอาหารมากขึ้น, มีการจองในช่วงวันหยุด หรือมีการบินและการจับจ่ายด้านเครื่องนุ่งห่มมากขึ้นตามา

ภาพรวมนักลงทุนหนุนให้ดัชนี S&P500 ทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2020 โดยดัชนีปรับขึ้นได้กว่า 70จากที่ทำต่ำสุดในช่วงเดือนมี.ค. ที่การระบาดของไวรัสส่งผลให้เศรษฐกิจชะงักงัน

อย่างไรก็ดี การกระจายวัคซีนที่ทำได้ล่าช้าก็อาจจะเข้ามาคุกคามแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ โดยที่รัฐบาลสหรัฐฯมีการฉีดวัคซีนแล้วประมาณ 16.5 ล้านโดสตามข้อมูลล่าสุดในคืนวันพุธ ซึ่งน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงสิ้นปีที่แล้วที่คาดไว้ราว 20 ล้านโดส

ความซับซ้อนจากการระบาดรูปแบบใหม่ก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คุกคามการกลับสู่ภาวะปกติของเศรษฐกิจ

- การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น
- ลอสแองเจลลิสกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของไวรัสในเวลานี้
- อังกฤษกลับมา
 Lockdown อีกครั้ง
- เศรษฐกิจสหรัฐฯเผชิญกับภาวะคนว่างงานเพิ่มมากขึ้นเดือนธ.ค. เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เริ่มกลับมา
 Shutdown ปรถะเทศอีกครั้งเมื่อเดือนก.ย.

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก National Retail Federation มองว่า ปัจจัยที่ผลักดดันและฉุดให้เกิดข้อแตกต่างทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างทั้งหลาย ส่งผลให้เกิดความยากที่จะคาดเดาทิศทางของกลุ่มผู้บริโภค และแผนการดำเนินงานของภาคบริษัทต่างๆ

ผลสำรวจจาก UBS  ชี้ว่า สำหรับพฤติกรรมกลุ่มผู้บริโภคและค่าใช้จ่ายต่างๆในปัจจุบัน ดูจะกลับมาดีขึ้นมากตั้งแต่ที่เริ่มมีการกระจายวัคซีนได้ในช่วงปลายปีที่แล้ว แต่ก็คาดว่าเปอร์เซ็นการจับจ่ายของกลุ่มผู้บริโภคดูจะถูกจำกัดจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยอาจลดลงจาก 49% ในช่วงปลายเดือนต.ค.  ที่ตกมาที่ 34% ในช่วงต้นเดือนธ.ค. แต่สถานการณ์ในเดือนม.ค.  เห็นได้ถึงการฟื้นตัวกลับมาที่ 40ในช่วงต้นเดือนม.ค. แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนมากขึ้นว่าความล่าช้าของวัคซีน และการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะฉุดรั้งการจับจ่ายของผู้บริโภคอีกหรือไม่

 



CEO ของทาง JPMorgan ระบุว่า รายได้ชาวอเมริกาในระดับต่ำดูจะส่งผลกระทบอย่างหนักในทุกๆการเข้าสู่สภาวะถดถอย ที่จะก่อให้เกิดช่องว่างมากขึ้นและมีอิทธิพลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในสภาวะการถดถอยส่วนใหญ่ จะเห็นได้ถึงการตกงานและรายได้ลดลง และทำให้ค่าแรงขั้นต่ำทำได้เพียง 15 เหรียญ/ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น

รายงานของเฟด เผยว่า สภาวะของการตกงานโดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นกับคนยากจนจะเห็นได้ว่ากระทบเกือบ 40% ของการดำรงชีวิตในกลุ่มภาคครัวเรือนที่มีรายได้ราว 40,000 เหรียญ หรือต่ำกว่านั้นช่วงการระบาด  ซึ่งค่าแรงขั้นต่ำเกิดขึ้นเพียง 15 เหรียญ/ชั่วโมงหรือต่ำกว่านั้น ทำให้มีรายได้ต่อปีน้อยกว่า 32,000 เหรียญหรือต่ำกว่านั้นได้อีก และยิ่งทำให้คนหันมาออมหรือลดค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพ และการตกงานที่เพิ่มขึ้นราว 20% และ 25% จะส่งผลให้เด็กๆขาดเครื่องมือทางการศึกษาหรือระบบอินเทอร์เน็ตหากต้องมีการใช้นโยบายเรียนที่บ้าน

หัวหน้าฝ่ายเจ้าหน้าที่สำนักงานของ Walmart กล่าวว่า การตกงานยังมีผลโดยนัยต่อภาคบริษัทที่มีกลุ่มลูกค้าทั่วไปจำนวนมาก และจะเห็นว่าผลสำรวจกลุ่มผู้บริโภคยังมีความเป็นกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่ง 40ไม่คิดว่าสหรัฐฯจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

โดยที่ยอดขายบริษัทขยายตัวได้เพียง 6.4ในช่วงไตรมาสที่ 3/2020 ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องจับตาไปยังกลุ่มผู้บริโภครายย่อยมากขึ้นในเวลานี้  

 

เศรษฐกิจในรูปแบบการอยู่ติดบ้านมากขึ้น (Homebody Economic)

กลุ่มผู้บริโภคมีการปรับพฤติกรรมมากขึ้นและใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในที่พักอาศัย เว้นเสียแต่จะมีเงินมากขึ้นเพื่อทำการจับจ่ายใช้สอย

ภาพรวมคาดว่าปีนี้จะมีการจับจ่ายมากขึ้น และหลายๆบริษัทยังคงขยายมาตรการทำงานที่บ้านมากขึ้น จึงทำให้ประชาชนมีตารางการใช้ชีวิตที่ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนความต้องการอาหารมารับประทานที่บ้านมากขึ้น ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่ได้ซับซ้อนนัก

ข้อแตกต่างระหว่างพฤติกรรมของ “กลุ่มผู้บริโภค” vs กลุ่มนักลงทุน” คือความต้องการใช้ชีวิตแบบ Stay-at-Home ที่ดูจะหนุนหุ้นกล่มที่ตอบโจทย์กับมาตรการดังกล่าว  ซึ่งนับตั้งแต่ที่มีวัคซีนหุ้นกลุ่มที่ตอบสนองกับมาตรการ Stay-at-Home ก็ดูจะได้รับผลกระทบในเชิงลบ ขณะที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวเคยเพิ่มขึ้นกว่า 300% นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นปี 2020 ก่อนจะเกิดการกระจายวัคซีนได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธ.ค.

หลังจากนั้นหุ้นกลุ่มนี้ก็มีการปรับตัวลงประมาณ 33% โดยจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่เริ่มปี 2020 หุ้นบริษัท Zoom ปรับขึ้นได้ราว 480% แต่เมื่อมีวัคซีนก็จะเห็นถึงการอ่อนตัวลงมาราว 4นับตั้งแต่นั้น

ขณะที่การเริ่มกลับมามีมาตรการดังกล่าวก็ดูจะเห็นการกลับมาอยู่บ้านมากขึ้นและหุ้ Netflix ก็ทำสูงสุดใหม่ได้ในสัปดาห์นี้

สรุปได้ว่า “วัคซีน” เพียงอย่างเดียวไม่อาจช่วยชุบชีวิตเศรษฐกิจได้ ถ้าภาคอุตสาหกรรมและบรรดาภาคธุรกิจต่างๆยังไม่สามารฟื้นตัวได้

ดังนั้น วัคซีนจึงไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขปัญหาทุกๆอย่าง แม้ว่าประชาชนทุกคนจะหวังให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม

 

ที่มา: CNBC    

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com