องคำปรับขึ้นเล็กน้อยแม้ดอลลาร์ยังอยู่ในทิศทางแข็งค่า
ราคาทองคำปรับขึ้นเล็กน้อยวานนี้จากคาดการณ์กระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกอบกับตลาดรอประชุมเฟด ทางด้านดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อประมาณ 0.2%
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด +0.1% ที่ระดับ 1,854.81 เหรียญ หลังจากที่ปรับขึ้นไปมากถึง 0.8% วานนี้
· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด +0.1% ที่ระดับ 1,855.20 เหรียญ
อย่างไรก็ดี สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ของตลาด Comex จะหมดอายุลงในวันที่ 28 ม.ค. ขณะที่สัญญาถัดไปจะเป็นของเดือนเม.ย.
· SPDR เมื่อวานนี้ไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม ปัจจุบันถือครองอยู่ที่ 1173.25 ตัน
· นักวิเคราะห์โลหะมีค่าอาวุโสจาก Kitco กล่าวว่า โอกาสที่สหรัฐฯจะกระตุ้นเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายผ่อนคลายของเฟดจะส่งผลให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น และทำให้ระบบการเงินทั่วโลกมีความต้องการเงินสด แต่เชื่อว่าประเด็นนี้จะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะยาว
· ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดจาก High Ridge Futures กล่าวว่า ตลาดยังมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากทิศทางที่เฟดจะผ่อนคลายทางการเงิน หรือการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของสหรัฐฯ และภาพรวมการประชุมเฟดสองวันนี้จะยังคงดอกเบี้ยระดับต่ำใกล้ศูนย์
· ราคาซิลเวอร์ปิด -0.2% ที่ 25.34 เหรียญ
· ราคาแพลทินัมปิด -0.2% ที่ 1,096.40 เหรียญ
· ราคาพลาเดียมปิด -0.7% ที่ 2,336.93 เหรียญ
· สถานการณ์ไวรัสโคโรนาล่าสุด:
ภาพรวมยอดติดเชื้อทั่วโลกสะสมทะลุ 100 ล้านราย โดยติดเชื้อสะสมล่าสุด 100.25 ล้านราย ทั้งนี้ ยอดติดเชื้อใหม่โดยรวมทั่วโลกเมื่อวานนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 431,000ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตรวมสะสมอยู่ที่ระดับ 2.14 ล้านราย
สหรัฐฯยังมียอดติดเชื้อสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ล่าสุดพบยอดติดเชื้อใหม่ 136,866 ราย รวมสะสมในประเทศ 25.84 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสม 431,216 ราย
สำหรับประเทศบราซิลพบยอดติดเชื้อสะสมใกล้แตะ 9 ล้านราย ทางด้านรัสเซียพุ่งแตะ 3.73 ล้านราย ตามมาด้วยอังกฤษที่มียอดติดเชื้อสะสมรวม 3.66 ล้านราย และล่าสุดฝรั่งเศสยอดติดเชื้อสะสมทะลุ 3 ล้านรายเป็นที่เรียบร้อย
สถานการณ์ในฝั่งเอเชีย
- ญี่ปุ่นติดเชื้อสะสมล่าสุดที่ 364,813 ราย และมียอดเสียชีวิตรวม 5,084 ราย
- จีนกลับมาพบยอดติดเชื้อรายวันหลักร้อย ล่าสุดเพิ่มที่ 124 ราย ทำให้ยอดรวมสะสมที่ 89,115 ราย ขณะที่เกาหลีใต้ติดเชื้อสะสมทะลุ 75,521 รายเป็นที่เรียบร้อย
ภาพรวมประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อวานนี้เพิ่มขึ้น 187 ราย
มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 75 ราย ล่าสุดติดเชื้อแล้วรวม 72 จังหวัด
รายงานสถานการณ์ช่วงเย็นวานนี้ สมุทรสาครพบผู้ติดเชื้อ 914 ราย
สำนักข่าวไทยรัฐเช้านี้ รายงานถึง เพจหมอเผยข้อมูลน่าสนใจ ประเทศไทยมีโอกาสเกิด "โควิด-19" ระลอก 3 หากการ์ดตก คาดพ้นระลอก 2 ประมาณกลางหรือสิ้นเดือนก.พ.
1. ไทยเราขาลงระลอกใหม่ (ระลอก 2) เคสขาลงจากจุดวิกฤติ 65% จะพ้นเมื่อลดลงถึง 90%
2. บางประเทศเข้าสู่ระลอก 3 แล้ว ได้แก่ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น แถบเอเชียทั้งนั้นเลย
3. ข้อมูลจาก 3 ประเทศระยะเวลาหลังระลอก 2 ที่จะเกิดระลอก 3 คือ เฉลี่ย 4-6 สัปดาห์
4. ข้อสำคัญคือระลอก 3 มักพบเคสจำนวนมากกว่าระลอก 1 และ 2 หลายเท่า อาจ 1-10 เท่า
5. คาดการณ์ไทยเราจะพ้นระลอกใหม่ (ระลอก 2) น่าจะประมาณกลางหรือสิ้นเดือนกุมภาพันธ์
6. และถ้าเราการ์ดตก ซึ่งประชาชนในประเทศส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือร่วมใจดี ไม่น่าเกิดระลอก 3
7. ไทยเราจะเกิดระลอก 3 สาเหตุคงไม่ต่างจากระลอก 1 และใหม่ (ระลอก 2) คือ จิตสำนึกสาธารณะของคนบางกลุ่ม ย้ำแค่บางกลุ่ม เช่น ผีบ่อน ผีพนัน ผีโกดัง ผีลักลอบพาต่างชาติเข้าเมือง
8. ช่วงนี้กรณีสมุทรสาครยังน่าเป็นห่วง โรงงานมีมากกว่า 10,000 โรงงาน ตรวจคัดกรองเชิงรุกไปประมาณ 4,000 โรงงาน กำลังค้นหาเชิงรุกอย่างหนัก ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่
9. เคสในประเทศเริ่มขาลง เราเริ่มคลายมาตรการ ดีหน่อยรอบนี้เรามีประสบการณ์รอบแรกที่ล็อกดาวน์แล้วเศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงาน เครียด ขาดรายได้ ระลอก 2 จึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างจำนวนเคสและเศรษฐกิจไทยเราเคสรวม 13,000 แบ่งเป็นระลอกแรกประมาณ 5,000 ระลอกใหม่ตั้งแต่ 18 ธันวาคม ผ่านมา 1 เดือน พบ 8,000 เสียชีวิตระลอกแรก 60 ระลอกใหม่ 13 รวม 73 ราย
10. เราไม่อยากเกิดระลอก 3 เราไม่อยากมีเคสแตะระดับหลักครึ่งแสนหรือแสน เราไม่อยากมีเคสเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว ตอนนี้เราอยู่ปลายอุโมงค์ที่ 2 แล้ว ใกล้พ้นอุโมงค์แล้ว สิ่งเดียวที่จะพ้นอุโมงค์ได้คือ จิตสำนึกคนในชาติ+การ์ดอย่าตก ล้างมือ สวมหน้ากาก รักษาระยะห่าง
· ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งเป้าฉีดวัคซีน 1.5 ล้านคน/วัน ปรับเพิ่มจากเดิม 1 ล้านคน
นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯอาจบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีน Covid-19 จำนวน 1.5 ล้านคน/วันได้ โดยสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ทีมบริหารของนายทรัมป์เกือบทำสำเร็จที่ 1 ล้านคน/วัน
นายไบเดน เคยให้คำมั่นที่จะจัดหาวัคซีนให้ได้จำนวน 100 ล้านโดสภายใต้การบริหารงาน 100 วันแรก และมีเป้าหมายฉีดวัคซีนจำนวน 1 ล้านคน/วัน และการปรับเป้าหมายครั้งนี้ นายไบเดนก็หวังที่จะต้องบรรลุเป้าหมายต่อวันที่ 1 ล้านให้ได้
· Reuters รายงานว่า “ไบเดน” พร้อมเปิดกว้างเจรจาเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจ 1,400 เหรียญ ของแพ็คเกจ Covid-19 โดยที่บรรดาเสียงสนับสนุนของเขา ระบุว่า อาจมีการมุ่งเน้นไปยังกลุ่มคนมีรายได้น้อยเพิ่มมากขึ้น
· รัฐมินิโซตา ของสหรัฐฯ ยืนยันการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายแรก ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่พบในประเทศบราซิล
· บริษัท Moderna เผยถึงการเร่งมือศึกษาเพื่อให้วัคซีนต้านไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่พบในบราซิล พร้อมระบุถึงปัจจุบันที่วัคซีนสามารถป้องกันเชื้อไวรัสดังกล่าวได้บางส่วน
ทั้งนี้ การใช้วัคซีนจำนวน 2 โดส สามารถสร้างแอนตี้บอดี้เพื่อรับมือกับการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่าง B.1.17 และ B.1.351 ที่เป็นสายพันธุ์ที่พบในอังกฤษและแอฟริกาใต้ได้ตามลำดับ แต่ขณะนี้ทางบริษัทกำลังศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มีประสิทธิภาพ และกระบวนการศึกษาดังกล่าวยังไม่ได้ถูกทบทวนผลจากบรรดาผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี บริษัท Moderna เชื่อว่า วัคซีนจะสามารถต้านไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้
· “ไบเดน” ออกคำสั่งห้ามประชาชนที่ไม่ใช่ชาวสหรัฐฯที่เดินทางจากแอฟริการใต้เข้าประเทศ รวมทั้งการขยายมาตากรจำกัดการเดินทางต้าน Covid-19 ขยายไปยังโซนยุโรปและอังกฤษ รวมทั้งบราซิล
· ผู้พัฒนาวัคซีนโควิด CureVac มีแผนขายหุ้น 5 ล้านหุ้น
บริษัท German biotech firm CureVac วางแผนขายส่วนแบ่ง 5 ล้านหุ้น โดยได้เสนอเป็นรอบที่สอง ขณะที่เริ่มการทดลองระยะสุดท้ายสำหรับวัคซีนโควิด
โดยเงินที่ได้จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นทุนในโครงการวัคซีนอาร์เอ็นเอและขยายเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีน ทั้งนี้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา CureVac ได้ร่วมมือกับผู้ผลิตยา Bayer AG เพื่อช่วยพัฒนาวัคซีนโควิดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้หุ้น CureVac ปรับลง 3.3% ที่ระดับ 101.01 จุด ในช่วงการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม บริษัท Nasdaq ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุน Dietmar Hopp, Gates Foundation และ GlaxoSmithKline รวมถึงรัฐบาลเยอรมัน วางแผนที่จะผลิตวัคซีนได้มากถึง 300 ล้านโดส ในปี 2021และเพิ่มขึ้นถึง 600 ล้านในปี 2022
· “นางเจเน็ต เยลเลน” ได้รับเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภาสหรัฐฯ 84-15 เสียง ยืนยันการรับตำแหน่ง “รัฐมนตรีกระทรวงการคลังหญิงคนแรกของสหรัฐฯ”
· เฟดมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในการประชุมวาระแรกภายใต้ทีมบริหารของไบเดน
สิ่งที่เฟดจะนำมาหารือในการประชุมรอบนี้ คือ ความท้าทายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
1. การแจกจ่ายวัคซีน Covid-19 ที่จะเป็นตัวชี้วัดการกลับมาเปิดทำการของภาคบริษัท การใช้จ่ายของผู้บริโภคและทิศทางเศรษฐกิจ
2. การตกงานครั้งประวัติศาสตร์ช่วงไวรัสระบาดกว่า 10 ล้านคน
3. การปรับตัวสูงขึ้นของเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ดี ผลประชุมเฟดจะถูกเปิดเผยในคืนวันพุธประมาณตี 2 (ตามเวลาไทย)
· ประธานอีซีบี ระบุว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้าไม่เป็นอุปสรรค และอีซีบีจะรักษาเงื่อนไขทางการเงิน
นางคริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนเป็นไปอย่างล่าช้าจากการใช้มาตรการที่เข้มงวดสกัดกั้นการระบาด และความไม่แน่นอนของการกระจายวัคซีน แต่โดยองค์รวมเป็นความล่าช้าเพียงเล็กน้อย จึงไม่น่าจะเป็นอุปสรรคใดๆ
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีอยู่
ข้อมูลเศรษฐกิจของอีซีบีล่าสุด บ่งชี้ให้เห็นถึงสัญญาณหดตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 ที่น่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2021
แม้ว่าในเดือนธ.ค. อีซีบีจะมีการปรับประมาณการณ์จีดีพีปี 2021 ไว้ที่ 3.9% และปี 2022 ที่ระดับ 2.1% แต่คาดการณ์ทั้งหมดก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาดของไวรัส และความรวดเร็วที่ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีน
ดังนั้น ภูมิภาคยุโรปจะบรรลุเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและทำให้ภาคธุรกิจเปิดทำการได้อย่างเต็มรูปแบบอาจเผชิญกับความท้าทายในการทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอย่างทีเราคาดหวังไว้
· สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯยื่นคำฟ้องร้องนายทรัมป์ให้แก่วุฒิสภา เพื่อเข้าสู่กระบวนการต่อไป ซึ่งทางวุฒิสภาสหรัฐฯจะยังไม่เริ่มฟังคำค้านของนายทรัมป์ในช่วง 2 สัปดาห์นี้ แต่สมาชิกวุฒิสภาก็เห็นพ้องต่อกำหนดการในวันนัดไต่สวน 8 ก.พ. นี้
· “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน เรียกร้องความ “สามัคคี” ในยุคของนายไบเดน พร้อมเตือนการต่อประวัตศาสตร์ที่ประเทศต่างๆเลือกที่จะทำอะไรโดยลำพังว่าเป็น “ความล้มเหลว”
· นางอังเกลา แมร์เคล นายกฯเยอรมนี มีมมุมองเชิงบวกต่อทิศทางความสัมพันธ์กับสหรัฐฯมากขึ้นภายใต้การบริหารงานของนายไบเดน พร้อมระบุว่า “การร่วมมือกันจะทำให้พวกเราแข็งแกร่ง”
· นักบริหารเงิน คาดว่าเงินบาทจะคเลื่อนไหวในกรอบแคบ ที่ 29.95-30.05 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งปัจจัยชี้นำตลาด น่าจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ของธนาคารกลางสหรัฐ ช่วงกลางสัปดาห์นี้ ว่าจะมีการส่งสัญญาณเรื่อง มาตรการ QE อย่างไร แต่ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เชื่อว่าจะยังคงไว้ในระดับเดิม ประกอบกับน่าจะรอ flow ช่วงสิ้นเดือน
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
- EIC SCB หั่นเป้าส่งออกไทยปีนี้เหลือโต 4% จากเดิม 4.7% หลังโควิดระบาดใหม่ ขณะที่มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม 2020 ขยายตัวดีกว่าคาดที่ 4.7%YOY ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกก่อนการระบาดระลอกสอง โดยมูลค่าส่งออกทั้งปี 2020 หดตัวที่ -6.0% และหากไม่รวมการส่งออกทองคำและอาวุธจะหดตัวมากถึง -8.4%