· ค่าเงินดอลลาร์ได้รับแรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากความกังวลเกี่ยวกับการทำ short positions ของบรรดา hedge funds
นักลงทุนเข้าถือครองค่าเงินดอลลาร์ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโจ ไบเดน ว่า งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 1.9 ล้านล้านเหรียญ อาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ในขณะเดียวกันการเปิดตัววัคซีนโควิด -19 ทั่วโลกกำลังประสบปัญหา โดยอียูเผชิญกับอุปสรรค ความล่าช้าในการผลิตวัคซีน ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างอียูและผู้ผลิตยาในการจัดหาวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัด
นักกลยุทธ์ของธนาคารสหรัฐฯ ในโตเกียว มองว่า นักลงทุนยังคงมีความกังวลอยู่ ว่าค่าเงินดอลลาร์และสกุลเงินฐานะปลอดภัยอื่น จะคงเป็นที่ต้องการในขณะนี้ โดยคำถามคือ เฟดจะดำเนินนโยบายทางการเงินต่อไปอย่างไร รวมถึงกำหนดอัตราดอกเบี้ย ที่มีผลต่อค่าเงินดอลลาร์
โดยดัชนีดอลลาร์ ปรับเพิ่มขึ้น 0.2% ที่ 90.757 จุด หรือ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.6 % ในรายสัปดาห์
ค่าเงินเยนปรับตัวสูงขึ้น 0.3% ที่ระดับ 104.52 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรปรับลดลง -0.2% ที่ระดับ 1.20955 ดอลลาร์/ยูโร
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคน คาดว่าค่าเงินดอลลาร์จะกลับสู่แนวโน้มขาลง หลังจากที่ปรับลง 7% ในปีที่แล้ว ท่ามกลางงบประมาณค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวนมาก และเฟดยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป
· สหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือที่รู้จักในชื่อ “B.1.1.7”
ผู้อำนวยการของศูนย์พัฒนาวัคซีน ที่โรงพยาบาลเด็กเท็กซัส เผยว่า สหรัฐฯ กำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก จากไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดในทุกพื้นที่ของสหรัฐฯ
เนื่องจากไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่สามารถแพร่เชื้อได้มากขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ประชากรสหรัฐฯ อาจติดเชื้อกันมากขึ้น ทำให้พื้นที่การเข้ารักษาในโรงพยาบาลมีจำกัด และส่งผลให้อัตราผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
· ออสเตรเลีย ยืนหยัดปกป้องประเทศ ภายใต้แรงกดดันจากจีน
แมลคัม เทิร์นบุลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย จำเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ในขณะที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากจีน และมองว่าแรงกดดันของจีนมีอิทธิพลบีบบังคับให้ออสเตรเลียปฏิบัติตามมากขึ้น
ทั้งนี้ นายเทิร์นบูล มองว่า ในการติดต่อกับจีน ออสเตรเลียยังคงต้องอาศัยแนวทางการประนีประนอม เพื่อให้เกิดความร่วมมือได้อย่างเสรีมากขึ้น
· นางแคร์รี ลัม ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง คาดหวังว่าคณะทำงานของทีมบริหารไบเดนจะไต่สวนรัฐบาลฮ่องกงอย่างเป็นธรรมเกี่ยวกับกรณีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
โดยกฎหมายดังกล่าวมีการประกาศใช้ในฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งรัฐบาลของอดีตปรธาราธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้วิจารณ์การกระทำดังกล่าว และได้กลายเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนย่ำแย่ลง
อย่างไรก็ตาม นางลัมได้ปฏิเสธว่าฮ่องกงเป็นจุดเชื่อมระหว่างสหรัฐฯกับจีน แต่ระบุว่าบางครั้งสหรัฐฯก็ใช้ฮ่องกงเป็นเครื่องมือในการจัดการกับจีน
· ญี่ปุ่นเผยข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม หดตัวลงจากผลกระทบ COVID-19
ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือนธันวาคมขยายตัวลดลงเนื่องจากการมาตรการล็อกดาวน์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
การชะลอตัวของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นอาจสร้างกังวลว่าเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกล้มเหลวในการรักษาฐานรากที่มั่นคงหลังจากที่เศรษฐกิจถดถอยในปีที่แล้วเนื่องจากธุรกิจต่างๆได้รับแรงกดดันจากสภาวะภาวะฉุกเฉิน
· ยอดส่งออกรถยนต์โดยสารของเกาหลีใต้ปรับตัวลดลงในอัตราเลขหลักสิบในปีที่แล้ว เนื่องจากปริมาณอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแอซึ่งเกิดจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
สำนักงานศุลกากร เผย ยอดส่งออกรถยนต์โดยสารปรับตัวลดลง 12.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะ 3.47 หมื่นล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ภาพรวมปริมาณอุปสงค์ของตลาดลดลงในปีที่แล้ว แต่ปริมาณอุปสงค์ทั่วโลกดีดตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
· สิงคโปร์เตรียมให้เงินช่วยเหลือกับประชาชนที่ได้รับผลข้างเคียงรุนแรงจากวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้ารับการฉีดวัคซีน
โดยกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ ระบุว่า ประชาชนกว่า 113,000 รายได้รับการฉีดวัคซีนPfizer-BioNTech โดสแรกในวันที่ 27 ม.ค. โดยมีกว่า 50 รายได้รับโดสที่ 2 และได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว
สำหรับความช่วยเหลือด้านการเงินประกอบด้วยการให้เงินช่วยเหลือครั้งเดียวสูงสุด 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ แก่ผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) และได้ฟื้นตัวจากผลข้างเคียงที่รุนแรงของวัคซีน และการให้เงิน 225,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ในกรณีที่เสียชีวิตหรือเกิดความรุนแรงถาวรจากผลของการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสดังกล่าว
· เวียดนามรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9 รายในวันนี้ ที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม นับเป็นการติดเชื้อครั้งแรกในรอบสองเดือน
· ราคาน้ำมันดิบทรงตัว ซึ่งอยู่ในระดับที่เห็นได้ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนกำลังจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์และอุปทาน
การปรับลดอุปทานน้ำมันของซาอุดีอาระเบียและสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯได้ช่วยชดเชยแรงกดดันด้านราคาจากความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งชะลอตัวเนื่องการเปิดตัวของวัคซีนที่ล่าช้า และการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
สัญญาน้ำมันดิบ Brent เดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 4 เซนต์หรือ 0.1% ที่ระดับ 55.57 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ร่วงลง 0.5% ในช่วงก่อนหน้า ซึ่งจะหมดอายุวันนี้ โดยสัญญาเดือนเมษายนที่มีการใช้งานมากขึ้นเพิ่มขึ้น 13 เซนต์หรือ 0.2% เป็น 55.23 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบ WTI ลดลง 7 เซนต์ ที่ระดับ 52.27 เหรียญ/บาร์ หลังจากร่วงลง 1.0% ในเมื่อวาน