MTS Help Center

ทองคำปรับขึ้น-ตลาดหุ้นดิ่ง แต่ปิดเดือนม.ค. แย่ที่สุด

· ราคาทองคำและซิลเวอร์ปรับขึ้น จากการลงทุนในตลาดของกลุ่มรายย่อยและ Hedge Funds ประกอบกับความไม่แน่นอนของอุปทานวัคซีนในยุโรปที่ยังเป็นปัจจัยกระทบหุ้นทั่วโลกในแดนลบ แต่การแข็งค่าของดอลลาร์ก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่กดดันราคาทองคำให้ปิดเดือนม.ค. แย่ที่สุดรอบ 10 ปี

· ราคาทองคำปรับขึ้น +0.6% ที่ 1,851.01 เหรียญ

· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนเม.ย. ปิด +0.5% ที่ 1,850.30 เหรียญ

· เดือนม.ค. ปิดปรับลง 2.5% เป็นเดือนม.ค. ที่ปิดเดือนแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 อันได้รับแรงกดดันจากดอลลาร์แข็งค่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ

· SPDR ทำการขายทองคำออก 4.66 ตัน โดยปัจจุบันถือครองที่ระดับ 1,160.13 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ช่วงมิ.ย. ปีที่แล้ว ขณะที่ภาพรวมเดือนม.ค. ขายทองคำออก -10.61 ตัน

· นักวิเคราะห์จาก Bank of China International กล่าวว่า ความผันผวนในตลาดหุ้น ความล่าช้าของวัคซีนที่นานกว่าคาด ได้ช่วยหนุนให้ทองคำปรับขึ้น

· ซิลเวอร์ปิด +2.5% ที่ระดับ 27.04 เหรียญ โดยปรับขึ้นต่อหลังวันพฤหัสบดีปิดบวกได้กว่า 7% ท่ามกลางนักลงทุนมีการทำ Cover-Short จากข่าวลือเกี่ยวกับการทำ Short-Squeeze ในบริษัท GameStop ของกลุ่มนักลงทุนรายย่อย

· นักวิเคราะห์ Julius Baer ระบุว่า การปรับขึ้นของซิลเวอร์ไม่ได้มาจากตลาดซื้อขายรายย่อย แต่มาจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและมีเม็ดเงินไปเข้าสู่ตลาด แต่หากสภาวะเม็ดเงินในตลาดเบาบางก็อาจเห็นราคาซิลเวอร์ปรับลงได้

· ราคาแพลทินัมปิด +0.4% ที่ 1,074.67 เหรียญ

· ราคาพลาเดียมปิด -4.6% ที่ 2,227.25 เหรียญ

· ซิลเวอร์ฟิวเจอร์สเช้านี้ปรับพุ่ง 7% ขณะที่เทรดเดอร์จาก Reddit เผชิญ Short-Squeeze ในพอร์ตซิลเวอร์

ซิลเวอร์ฟิวเจอร์สเปิดตลาดครั้งใหญ่ที่สุดนับตัง้แต่ที่เริ่มมีสัญญาซื้อขายตั้งแต่ปี 2013 เป็นอย่างน้อย ที่ช่วงปีนั้นเห็นซิลเวอร์ฟิวเจอร์สขยับตัวได้ 6.8% ซึ่งการเคลื่อนไหวเป็นไปตามลักษณะเดียวกันกับการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางหุ้นบริษัทเหมืองซิลเวอร์อย่าง Coeur Mining ที่ขยับขึ้น 16.9% และ Pan America Silver ที่ปรับขึ้น 14.7% ในส่วนของ iShares Silver Trust ปรับขึ้น 6.7%

ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดเทรนในทวิตเตอร์ด้วย #Silversqueeze หรือภาวะแย่งกันหนีตายจากการที่ราคาในสินทรัพย์พุ่งขึ้นกองทุนที่ Short หุ้นเอาไว้ ก็เริ่มเป็นกังวลทำให้หลายกองทุนเริ่มทำตามระบบที่วางไว้ นั่นก็คือการปิดสถานะ Short และการปิดสถานะดังกล่าวทำให้เกิดการช่วยไล่ซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์ที่เหลือไม่มาก จึงยิ่งทำให้ราคาพุ่งต่อเนื่อง กระตุ้นให้กองทุนอื่นๆทำการปิด Short ตาม ทำให้ราคายิ่งปรับตัวสูงขึ้นคล้ายสภาวะลูกโซ่ และการที่แย่งกันไล่ซื้อหุ้นคืนเพื่อปิดสถานะก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะขาดทุนไปมากกว่านั้น

อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของซิลเวอร์ส่วนหนึ่งก็มาจากนักลงทุนที่ให้ความสนใจกับภาวะขาขึ้นใน Cryptocurrency อย่าง Bitcoin ที่หลายๆฝ่ายมองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลตัวใหม่นี้น่าจะมาแทนที่การซื้อขายสินค้าประเภทโลหะมีค่าดั้งเดิม

· สถานการณ์ไวรัสโคโรนาล่าสุด:

ภาพรวมยอดติดเชื้อทั่วโลกสะสมล่าสุดทะลุ 103.50 ล้านราย โดยยอดติดเชื้อใหม่ทั่วโลกเมื่อวานนี้เพิ่มขึ้น 385,888 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตรวมสะสมอยู่ที่ระดับ 2.23 ล้านราย

สหรัฐฯมียอดติดเชื้อสะสม 26.76 ล้านราย โดยล่าสุดพบยอดติดเชื้อใหม่ 104,062 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสม 452,225 ราย

· นักบริหารการเงิน ประเมินว่า กรอบเงินบาทเคลื่อนไหว 29.80-30.20 บาท/ดอลลาร์ จับตาผลการประชุม กนง. ในวันที่ 3 ก.พ. คาดคงดอกเบี้ย 0.50% พร้อมเกาะติดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เผยกระแสเงินทุนไหลออกตลาดหุ้น-บอนด์รอดูสถานการณ์ในประเทศ

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่
- ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯวงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญ
- สถานการณ์การระบาดของ Covid-19
- การจ้างงานนอกภาคเกษตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Non farm Payroll)
- ผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
- ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2020 ของยูโรโซน

อย่างไรก็ดี หากดูกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) จะพบว่า มีแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติ เพื่อทำกำไร โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นขายสุทธิอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งไหลออกเฉลี่ยวันละ 2,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดพันธบัตรขายสุทธิ 600 ล้านบาท หากรวมทั้ง 2 ตลาดมียอดขายสุทธิเกือบ 1.3 หมื่นล้านบาท

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้าแกว่งในกรอบ 1,425-1,500 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (1-5 ก.พ.) มีแนวรับที่ 1,455 และ 1,425 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,480 และ 1,500 จุด ตามลำดับ โดยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) (3 ก.พ.) สถานการณ์โควิด-19 ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/63 ของบจ. และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนม.ค. ของไทย รวมถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนม.ค. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/63 ของยูโรโซน ตลอดจนดัชนี PMI Composite เดือนม.ค. ของยูโรโซน ญี่ปุ่นและจีน

- ตลท.ให้ IIG,RBF ใช้ Cash Balance 1 ก.พ.-12 มี.ค.ขยายเวลา SMT ถึง 19 ก.พ.

- DTAC คาดปี 64 รายได้ค่าบริการลดลงหลักเดียวระดับต่ำ,ตั้งงบลงทุน 1.3-1.5 หมื่นลบ.

· อ้างอิงจากกรุงเทพธุรกิจ

- สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้ฟื้นตัวช้า ส่องจีดีพีโต 3%

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดจีดีพีไทยปี 2564 จะเติบโต 3% โดยการฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ โดยมีปัจจัยการเมืองภายในประเทศและความไม่ชัดเจนของการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ต้องจับตา คาดกนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ทั้งปีนี้

· อ้างอิงจากสำนักข่าวประชาชาติ

- ดัชนีความเชื่อมั่น ผู้ประกอบการค้าปลีก 2563

แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มกราคม-มีนาคม 2564) ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ายังมีความเชื่อมั่นลดลง และลดลงตํ่ากว่าเดือนธันวาคม สะท้อนถึงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อาจลากยาวไปกว่า 3 เดือน

การคาดการณ์ผลกระทบการแพร่ระบาดโควิดต่อภาคค้าปลีกระลอกใหม่ 2564

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยคาดว่า สถานการณ์การค้าปลีกค้าส่งในครึ่งปีแรก 2564 น่าจะมีแนวโน้มและทิศทางเดียวกับครึ่งปีหลังของปี 2563 กล่าวคือจะมีแนวโน้มที่ลดตํ่าลง ส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปี 2564 (ม.ค.-มี.ค.) จะมีความคล้ายคลึงกับไตรมาสสามของปี 2563 (JulAug-Sep) คือมีทิศทางที่ลดลง แล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้น เมื่อมีข่าวคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนในเฟสแรก บวกกับมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายภาครัฐอย่างต่อเนื่อง (โครงการคนละครึ่ง)

ส่วนในไตรมาสสองของปี 2564 (เม.ย.-มิ.ย.) ก็จะมีทิศทางคล้ายกับไตรมาสแรกปี 2563 (ต.ค.-ธ.ค.) กล่าวคือ เมื่อมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐค่อย ๆ แผ่วลง บวกกับผลกระทบจากการปิดกิจการ การเลิกจ้าง และการจ้างงานไม่เต็มเวลาสะสมเพิ่มขึ้น

ส่วนครึ่งปีหลังของปี 2564 ก็จะมีแนวโน้มและทิศทางคล้ายกับครึ่งปีแรกของปี 2563 กล่าวคือค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ เป็นลําดับ