ดาวโจนส์ปิดลดลงกว่า 600 จุด ปิดรายสัปดาห์ที่แย่ที่สุดตั้งแต่ต.ค. กังวลการปั่นหุ้น GameStop ในตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวลงต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะตลาดทีเคลื่อนไหวผันผวนหนักจากแรงเก็งกำไรที่เพิ่มมากขึ้นของกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่ยังสร้างความวิตกกังวลต่อตลาด
ดัชนีดาวโจนส์ปิด -620.74 จุด หรือ -2% ที่ระดับ 29,982.62 จุด เป็นครั้งแรกที่ปิดต่ำกว่า 30,000 จุด นับตั้งแต่ 14 ธ.ค.
ดัชนี S&P500 ปิด -1.9% ที่ระดับ 3,714.24 จุด ท่ามกลาง 10 กลุ่มใหญ่ในดัชนี S&P500 ที่พร้อมใจกันปิดแดนลบ
ดัชนี Nasdaq ปิด -2% ที่ 13,070 จุด หลังหุ้นบริษัท Apple ดิ่ง -3.7% และหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆปิดปรับตัวลดลง
3 ดัชนีหลักในตลาดโดยรวมดิ่งกว่า 3% ในสัปดาห์ ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ปรับลงแย่ที่สุดนับตั้งแต่ต.ค. ขณะที่ภาพรวมในเดือนม.ค. โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดลง 2% ด้าน S&P500 ปรับลง 1.1% ตามลำดับ เรียกว่าเป็นเดือนแรกที่ออกมาแย่ลงในรอบ 4 เดือน ในส่วนของดัชนี Nasdaq ปิด +1.4% ในเดือนม.ค.
หุ้นบริษัท GameStop ปรับขึ้นได้ 67.9% หลังจากที่บริษัท Robinhood สั่งจำกัดนักลงทุนรายย่อยซื้อหุ้นบริษัทอย่าง GameStop และ AMC หลังเข้ามาเล่นดันราคาจนนักลงทุนมืออาชีพและผู้จัดการกองทุนในวอลล์สตรีท ขาดทุนไปหลายพันล้านเหรียญ
กลุ่มนักลงทุนมีความวิตกกังวลกันว่า หากหุ้นบริษัท GameStop ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจะทำให้ความผันผวนในตลาดกลายเป็นค่านิยมใหม่ และอาจทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วน จึงทำให้บริษัทแอพฯเทรดหุ้นอย่าง Robinhood และนักลงทุนกลุ่ม Hedge Funds เผชิญภาวะขาดทุนหนักและต้องทำการปิดสถานะสินทรัพย์ตราสารหนี้เพื่อต้องการถือเงินสดเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังกังวลว่าการเพิ่มขึ้นหนักของหุ้นบริษัท GameStop จะส่งสัญญาณภาวะฟองสบู่ในตลาด และเมื่อฟองสบู่แตกก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยอย่างหนัก ส่งผลให้ทีมนักกฎหมายเรียกร้องให้เกิดการตรวจสอบภาวะการซื้อขายในตลาด ขณะทีคณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า จะพิจารณาถึงการดำเนินการของหน่วยงานควบคุมอย่างครอบคลุมว่าการตัดสินใจใดๆจะมีผลให้นักลงทุนเสียเปรียบหรือไม่
ขณะเดียวกัน บริษัท Johnson&Johnson หรือ J&J มีการเผยผลทดสอบวัคซีน Covid-19 ที่ออกมาน่าผิดหวังและทำให้นักลงทุนในตลาดบางส่วนเป็นกังวลต่อประสิทธิภาพในการรับมือกับสายพันธุ์ใหม่บางตัวที่ค่อนข้างน้อย จึงกดดันความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ ข้อมูลผลการทดสอบระบุว่า การใช้วัคซีนเพียง 1 โดส ให้ประสิทธิภาพเพียง 66% ในการป้องกัน Covid-19 ท่ามกลางการพบประสิทธิภาพการใช้งานในประเทศต่างๆ 4 สัปดาห์ ดังนี้
การทดสอบในสหรัฐฯพบประสิทธิภาพอยู่ที่ 72%
การทดสอบในแถบลาตินอเมริกามีประสิทธิภาพ 66%
การทดสอบในแอฟริกาใต้พบประสิทธิภาพเพียง 57%
อย่างไรก็ดี การใช้งานวัคซีนเพื่อรักษาในโรงพยาบาลพบว่าทำหน้าที่การป้องกันได้อย่างเต็มที่ แต่ผลการทดสอบวัคซีนที่ออกมาดังกล่าวส่งผลให้หุ้นบริษัทร่วงลงราว 3.6%
สำหรับตลาดหุ้นที่ฟื้นตัวได้ช่วงก่อนหน้าทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาจากความหวังที่จะเห็นวัคซีนมีประสิทธิภาพต้าน Covid-19 ได้ พร้อมกับหนุนให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวและเปิดทำการได้อย่างราบรื่นก่อนสิ้นปี แต่การระบาดของสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นก็ดูจะมีการดื้อยาหรือต่อต้านวัคซีน ณ ปัจจุบัน จึงมีผลต่อมุมมองขาขึ้นของบรรดากลุ่มนักลงทุนในตลาดหุ้น
ความผันผวนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้นจากการปั่นหุ้นของกลุ่มนักลงทุนรายย่อยในตลาดที่ส่งผลให้ตั้งแต่วันพุธดาวโจนส์ร่วงลงประมาณ 600 จุด และทำให้ภาพรวมมีแรงเทขายที่แย่ที่สุดรอบ 3 เดือนแม้ว่าหุ้นกลุ่ม Blue-Chip จะรีบาวน์กลับมาได้ในคืนวันพฤหัสบดีประมาณ 300 จุด แต่ดัชนีมาตรวัดความผันผวน (VIX) ก็ปรับขึ้นเหนือ 33 จุดในคืนวันศุกร์
สำหรับปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นเคลื่อนไหวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในสภาวะที่ตลาดมีความร้อนแรงมากขึ้นโดยมีสภาวะที่สูงกว่า 2.37 หมื่นล้านหุ้น ผ่านระดับที่เคยพุ่งมากสุดตั้งแต่ที่เคยเกิดวิกฤตทางการเงินในปี 2008 และจะเห็นได้ว่าตั้งแต่วันพฤหัสบดีมีการเปลี่ยนมือในการถือหุ้นกว่า 1.9 หมื่นหุ้น
นายบิล กรอส นักลงทุนมหาเศรษฐีในตลาดพันธบัตรกล่าวว่า เริ่มมีสัญญาณวิกฤตที่ก่อเกิดเป็นกลุ่มผู้กำกับดูแลตลาดต้องออกสัญญาณเตือน รวมไปถึงสื่อกระแสหลักเกี่ยวกับภาวะการซื้อขายที่อันตรายในสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งโดยองค์รวมของตลาดและตัวกลุ่มนักลงทุนเอง แต่ถึงแม้ทิศทางตลาดในเวลานี้จะค่อนข้างเจ็บปวด แต่เชื่อว่ายังมีสัญญาณบวกที่น่าจะดันตลาดขึ้นได้ต่อในระยะยาว และการทำ Long-Short ของกลุ่ม Hedge Funds มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างน้อย จึงบ่งชี้ว่าผลกระทบในภาพรวมของตลาดนั้นมีผลเพียงเล็กน้อย
ที่มา: CNBC