· ค่าเงินดอลลาร์ แข็งค่าในรอบ 4 เดือน เมื่อเทียบกับเงินเยน เนื่องจาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า โดยแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้นที่ระดับ 1.331% จากที่คาดการณ์ในสัปดาห์ที่แล้วที่ระดับ 1.20%เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเร่งให้อัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์
โดยดัชนีดอลลาร์อินเดกซ์ กลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลส่วนใหญ่หกสกุล ที่ 90.681 จากแตะระดับต่ำสุดในรอบสามสัปดาห์ที่ 90.117 ในวานนี้
นักกลยุทธ์ค่าเงินอาวุโสจาก National Australia Bank
มองว่า การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร เป็นสัญญาณเตือนถึงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ เนื่องจาก
- ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น
- โอกาสเกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯในวงเงินจำนวนมาก
- การฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก
- ความแข็งแกร่งของการกระจายวัคซีน
- การกลับมาเปิดทำการทางเศรษฐกิจ
นักกลยุทธ์อาวุโสของ Daiwa Securities มองว่า ภาวะขาลงของดอลลลาร์ยังไม่จบ และเริ่มต้นปีมาก็ยังอยู่ต่ำกว่า 100 จุด
ทั้งนี้เจมส์ บลูลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ มองว่า สภาวะการเงินของสหรัฐ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก เผยว่า แรงกดดันต่อเงินเฟ้อยังคงลดลง จากที่นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยยังคงต่ำและการใช้จ่ายของรัฐบาลอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ร้อนแรงและกระตุ้นให้เกิดอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ค่าเงินยูโร อ่อนค่าลงที่ 1.2085 ดอลลาร์/ยูโร โดยอ่อนค่าลงในเล็กน้อย เนื่องจากข้อมูลตัวเลขความเชื่อมันในเศรษฐกิจเยอรมันกลับมาแข็งแกร่ง
ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษ แข็งค่าที่ 1.3863 ดอลลาร์/ปอนด์ ซึ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2018 เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร การซื้อขายค่าเงินปอนด์ทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค. ที่ 87.07 เพนนี/ยูโร
ค่าเงินออสเตรเลีย อ่อนค่าลงที่ 0.7734 ดอลลาร์/ออสเตรเลีย เมื่อเทียบกับวันอังคาร ที่ 0.7805 ดอลลาร์/ออสเตรเลีย
สกุลเงินหยวนของจีนก็อ่อนค่าลงเช่นกันหลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ที่ 6.4010 ดอลลาร์/หยวน โดยล่าสุดอยู่ที่ 6.4269 ดอลลาร์/หยวน
โดยค่าเงินเยน ล่าสุดอยู่ที่ 106.13 ดอลลาร์/เยน
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี จึงช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ แต่กดดันให้มูลค่าตลาดหุ้นที่อยู่ในระดับสูงปรับตัวลดลง ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนคาดการณ์ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในตลาดเอเชียพบว่า ข้อมูลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นถึง 1.3330% ในเอเชีย ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2020 แม้ว่าจะลดลงในภายหลังกลับมาที่ 1.2989% ก็ตาม
เมื่อเทียบกับความถ่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี เปิดค่อนข้างมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี โดยเทรดเดอร์มองว่า ระยะสั้นๆ เฟดจะยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินไว้ก่อน แม้จะเห็นสถานการณ์การระบาดทั่วโลกดูดีขึ้น
· เดโมแครตผลักดันร่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯกำลังเตรียมผลักดันร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญให้แล้วเสร็จภายในช่วงสิ้นเดือนก.พ.นี้
ทั้งนี้ พรรคเดโแมครตมีเป้าหมายจะให้อนุมัติผ่านร่างทั้งหมดโดยปราศจากมติเห็นชอบของนายทรัมป์ ก่อนที่มาตรการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 14 ม.ค.นี้ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวในการผ่านร่างกฎหมายจะต้องได้รับเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา
คณะกรรมาธิการกำกับดูแลด้านงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จะเริ่มกระบวนการภายในไม่กี่วันนี้ในการร่างข้อกฎหมายในหัวข้อต่างๆเพื่อรวมเข้าสู่ร่างกฎหมายฉบับเดียว ซึ่งหากได้รับเสียงข้างมากจากทางสภาล่างก็จะส่งต่อให้ทางสภาสูงโหวตต่อในทันที
อย่างไรก็ดี แผนงบประมาณดังกล่าวจะมีรายละเอียด
- เช็คกระตุ้นเศรษฐกิจ 1,400 เหรียญ ที่จ่ายตรงแก่ชาวสหรัฐฯส่วนใหญ่
- สนับสนุนสวัสดิการคนว่างงานสัปดาห์ละ 400 เหรียญจนถึง 29 ส.ค.
- งบประมาณให้แก่รัฐต่างๆ และมลรัฐ วงเงิน 3.5 แสนล้านเหรียญ
- งบประมาณโครงการฉีดวัคซีน Covid-19 และอื่นๆ 2 หมื่นล้านเหรียญ
หลังจากที่กระบวนการฟ้องร้องนายทรัมป์ ในวุฒิสภาจบลง ก็ดูเหมือนจะมีเสียงสนับสนุนเพียง 2 ใน 3 ในการลงโทษเขา ทำให้เขาถูกปล่อยตัวในท้ายที่สุด
· ไบเดนหวังจะทำการเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมและการรักษาความปลอดภัยในสหรัฐฯ โดยชี้ถึงการจะเพิ่มงบประมาณตำรวจ แต่ไม่รวมคดีต้องโทษคุมขังจากยาเสพติด ซึ่งคาดว่าจะเป็นนโยบายที่ดำเนินการต่อหลังผลักดันแพ็คเกจ Covid-19 เป็นที่เรียบร้อย
· การระบาดของไวรัสโคโรนากดดันให้ผู้โดยสายของสายการบินต่างๆในสหรัฐฯลดลงมากสุดในรอบ 30 ปี
ทั้งนี้ ผู้โดยสายสายการบินของสหรัฐฯในปี 2020 มีเพียง 371 ล้านรายเท่านั้น ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 1984 ขณะที่เดือนธ.ค. มีผู้โดยสารใช้บริการลดลง 62% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีก่อนที่ระดับ 30.4 ล้านคน และภาพรวมรายปีร่วงลงกว่า 60% เมื่อเทียบกับปี 2019
สายการบินต่างๆ จึงคาดหวังว่า อุปสงค์ด้านการเดินทางด้วยเที่ยวบินปีนี้จะอ่อนแอถึงแค่ต้นปี 2021 ที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 และความล่าช้าในการฉีดวัคซีน แต่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นได้ในช่วงปีหลังอีกครั้งหนึ่ง
· "เยลเลน" ให้คำมั่นหนุนความร่วมมือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวถ้อยแถลงสำคัญในการเรียกร้องให้รองประธานคณะกรรมาธิการอียูร่วมมือกันในการสนับนสนุนเศรษฐกิจ
ขณะที่ช่วงเช้าวานนี้ นางเยลเลน มีการหารือกับ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี โดยย้ำเน้นวิธีการร่วมมือกันเชิงลึกในการจัดการด้านเศรษฐกิจและระบบการเงิน ซึ่งนางเยลเลนมีความตั้งใจที่จะร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับอียูบนความท้าทายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
- การยุติการระบาดของไวรัสโคโรนา
- การสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
- การต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำของรายได้
- การจัดการกับสภาวะโลกร้อน
นอกจากนี้ นางเยลเลน ยังมีการหารือเรื่องภาษีข้ามประเทศ และวิธีแก้ไขปัญหาด้านการค้าด้วย
· นักวิเคราะห์ ชี้ ผลกระทบแท้จริงของ Covid ในยุโรปกำลังกระทบภาคธนาคารต่างๆ
รายงานจาก Reuters ระบุถึงผลกระทบที่ยุโรปได้รับในกลุ่มธนาคารต่างๆ อันเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ดังนี้
- การไม่สามารถชำระหนี้สินจากการกู้ยืม
- ผลกำไรของภาคธนาคารรายใหญ่ในยุโรปย่ำแย่
- การถกเถียงกันเกี่ยวกับสภาวะทางการเมืองว่ามีความจำเป็นจะต้องให้การช่วยเหลือหรือไม่ อย่างไร
- ผู้บริหารธนาคารหลายราย มองว่า "นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายมากที่สุดของพวกเขา"
- CEO ของธนาคาร Societe Generale และ BNP Paribas ต่างคาดหวังจะเห็นการฟื้นตัวได้ในเร็วๆนี้
- 3 ธนาคารรายใหญ่ของฝรั่งเศส ประสบภาวะผลกำไรหดตัวลงมากที่สุดในปีที่แล้ว
- ธนาคาร Santander ของสเปน ก็มีผลประกอบการย่ำแย่
- ธนาคาร ING ของเนเธอแลนด์ ก็มีผลประกอบการที่ไม่สู้ดีนัก
นอกจากนี้ ยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนการกู้ยืมที่มากขึ้นจะนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ จากการที่รัฐบาลต่างๆต้องการให้การสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส, สเปน และประเทศอื่นๆในภูมิภาค ดังนั้น จึงส่งผลให้ บรรดารัฐมนตรีการคลังของยูโรโซน เข้าพบกันเมื่อวานนี้ หลังทราบรายงานดังกล่าว รวมถึงปัญหาขององค์กรต่างๆที่ขยายตัวเป็นวงกว้าง
· ข้อมูลอุตสาหกรรมแสดงให้เห็นว่า การจดทะเบียนรถยนต์ในยุโรปประจำเดือนม.ค.ลดลง เนื่องจากมาตรการ Lockdown เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาระลอกที่สอง ส่งผลกระทบต่อยอดขายในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
โดย ACEA เปิดเผย การลงทะเบียนรถยนต์ใหม่ลดลง 25.7% เมื่อเทียบเป็นรายปีเหลือ 842,835 คันในสหภาพยุโรป อังกฤษและประเทศใน European Free Trade Association (EFTA)
· เงินเฟ้ออังกฤษขยับขึ้นเล็กน้อย 0.7% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ขณะที่เดือนธ.ค. ขึ้น 0.6% แม้จะยังมีการ Lockdown ในประเทศอยู่
· ดร. ฟาวซี คาดกรอบเวลาการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯอาจล่าช้าไปเล็กน้อยประมาณช่วงปลายเดือนพ.ค. - ช่วงต้นมิ.ย. จากที่เคยประเมินว่าจะฉีดวัคซีนได้เกือบแล้วเสร็จประมาณช่วงปลายมี.ค. - ต้นเม.ย.
ทั้งนี้ การผลิตวัคซีนมีอุปสรรคจากภาคแรงงานอุตสาหกรรมที่มีอย่างจำกัด ประกอบเงื่อนไขทางด้านสาธารณสุขในแต่ละรัฐ
อย่างไรก็ดี รัฐบาลอาจมีการพิจารณาอนุมัติการใช้วัคซีนของบริษัท Johnson & Johnson เป็นกรณีฉุกเฉินที่อาจส่งผลให้ประชาชนสหรัฐฯอาจได้รับวัคซีนเพิ่ม 100 ล้านโดส ภายในช่วงสิ้นเดือนมิ.ย.
ขณะนี้ 81 ประเทศได้เริ่มฉีดวัคซีนสำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาและได้ฉีดวัคซีนไปแล้วอย่างน้อย 177,523,000 โดส
ขณะนี้ 81 ประเทศได้เริ่มฉีดวัคซีนสำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาและได้ฉีดวัคซีนไปแล้วอย่างน้อย 177,523,000 โดส
ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนของสหรัฐฯ
ประชากรในเมือง Gibraltar ของอังกฤษได้รับฉีดวัคซีนเป็นที่แรกของโลก โดยฉีดให้ประชากรไปแล้ว 38% พร้อมทั้งคาดว่าทุกคนจะสามารถได้รับวัคซีนจำนวน 2 โดส
· ญี่ปุ่นเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาแล้ววันนี้ โดยทำการฉีดวัคซีนจากบริษัท Pfizer-BionTech แก่บรรดาเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโตเกียว ในขณะที่นาย โยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรี ญี่ปุ่น พยายามพลิกสถานการณ์การแพร่ระบาด ก่อนเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกในฤดูร้อนนี้
· นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ เตือนประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่พุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 40 วัน
· รัฐมนตรีสาธารณสุขไต้หวัน ระบุว่า ข้อตกลงที่ไต้หวันทำกับบริษัท BioNTech ของเยอรมนีในการซื้อวัคซีนจำนวน 5 ล้านโดสเมื่อเดือนธ.ค. พบว่า ถูกจีนเข้าแทรกแซงจนทำให้การได้รัวัคซีนมีความล่าช้าออกไป และส่งผลให้บริาัท BioNTech มีการถอนข้อตกลงในท้ายที่สุด
ดังนั้น จึงมีความกังวลว่าภาวะทางการเมืองและการตัดสินใจจะถูกแทรกแซงอีก จึงต้องระมัดระวังการหารือเกี่ยวกับแผนข้อตกลงใดๆต่อสาธารณชน
· เม็กซิโกมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทะลุ 2 ล้านราย และยอดผู้เสียชีวิตมากกว่า 175,000 ราย
· "นิวซีแลนด์" สั่งยกเลิกมาตรการ Lockdown เมืองโอ๊คแลนด์ หลังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้
· กระทรวงไวน์ของออสเตรเลียจะทำการขายสินทรัพย์เพื่อลดค่าใช้จ่ายจากปัญหาภาษีของจีน โดยมีแผนจะทำการปฏิรูปภาคธุรกิจครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น
- การขายสินค้าพื้นฐานในราคาต่ำ
- การขายสินทรัพย์อื่นๆ
เพื่อเพิ่มรายได้ไม่น้อยกว่า 230 ล้านเหรียญ ที่ได้รับผลกระทบจากการที่จีนขึ้นภาษีสินค้าไวน์ของออสเตรเลีย
การปรับโครงสร้างดังกล่าวมีขึ้นหลังพบรายงานกลุ่มผู้ผลิตไวน์ในช่วงครึ่งปีแรกขาดทุน 43% โดยมีผลกำไรสุทธิ 94 ล้านเหรียญ และยังมีแนวโน้มว่าช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะเห็นผลประกอบการตกลงกว่าครึ่งปีแรก
· ไบเดน เตือน "จีนยังต้องเผชิญกับผลกระทบทางด้านสิทธิมนุษยชน"
ทั้งนี้ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากทั่วโลกต่อการปฏิบัติกับชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ และสหรัฐฯเองก็จะร่วมต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน
พร้อมกันนี้ นายไบเดน ระบุว่า จีนค่อนข้างมีความพยายามอย่างมากเพื่อมาเป็น "ผู้นำโลก" แต่เพื่อให้เป็นได้ดังที่หวัง เขาจำเป็นต้องได้รับความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากประเทศอื่นๆด้วยเช่นกัน
· สหรัฐฯ เคลื่อนไหวแล้ว ส่งเรือรบเข้ามาในน่านน้ำทะเลจีนใต้ บริเวณเกาะที่จีนอ้างสิทธิในการปกครอง
เรือรบของกองทัพเรือสหรัฐฯ แล่นตามบริเวณหมู่เกาะที่จีนอ้างสิทธิ์ในการปกครอง ในน่านน้ำทะเลจีนใต้ ชี้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเสรีภาพการเดินเรือทางทะเล และนับเป็นการเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐฯ เพื่อท้าทายจีนในการอ้างสิทธิปกครองเกาะ ซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทกันในขณะนี้
โดยกองทัพเรือหมายเลข 7 ของสหรัฐฯ เผยว่า เรือรบ USS Russell สามารถใช้สิทธิและเสรีภาพในการเดินเรือในหมู่เกาะสแปรตลีย์ได้ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม จีนอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือหมู่เกาะทั้งหมด แต่บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวันและเวียดนามยังคงยื่นข้อเรียกร้องในการเป็นเจ้าของเกาะในบางพื้นที่เช่นกัน
· แม้จะมีคำมั่นในการจะจัดเลือกตั้งใหม่ และประชาชนชาวพม่าที่ต้านรัฐบาลทหารพม่าก็ยังคงจัดชุมนุมใหญ่ต่อในวันนี้ เพื่อแสดงจุดยืนในการต่อต้านการดำเนินการของกองทัพ และสนับสนุนให้คืนอำนาจแก่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของนางอองซานซูจี
· น้ำมันทรงตัว ท่ามกลางการปิดทำการชั่วคราวของโรงกลั่นน้ำมันสหรัฐฯ ขณะที่ OPEC+ อาจจะลดปริมาณการผลิตลง
ราคาน้ำเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นในวันนี้ โดยได้แรงสนับสนุนจากการหยุดทำการชั่วคราวของโรงกลั่นในรัฐเท็กซัสสหรัฐฯจากเหตุพายุฤดูหนาว ขณะที่กลุ่ม OPEC+ มีแนวโน้มที่จะผ่อนปรนการปรับลดกำลังการผลิตในเดือน เม.ย.นี้
โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 3 เซนต์ ที่ระดับระดับ 60.02 เหรียญ/บาร์เรล โดยลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน ที่ 60.95 เหรียญ/บาร์เรล ในเมื่อวาน
ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 11 เซนต์ หรือ 0.2% ที่ 63.46 เหรียญ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สาม
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและอุปทานที่หยุดชะงักลงจากพายุฤดูหนาวครั้งประวัติศาสตร์ในเท็กซัสซึ่งเป็นรัฐผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯยังคงเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคา
· ผู้เชี่ยวชาญภาคอุตสาหกรรมชี้ กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเชลล์ในสหรัฐฯอาจเผชิญกับสัปดาห์ที่ไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ เนื่องจากพายุฤดูหนาว ประกอบกับการปราศจากไฟฟ้าในการจัดการต่างๆ
รัฐเท็กซัสที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่กว่ารัฐอื่นๆในสหรํฐฯ ไม่มีแนวโน้มว่าจะกลับมาทำการผลิตได้ในเร็วๆนี้ และมีความจำเป็นต้องปิดโรงกลั่นน้ำมันเป็นการชั่วคราวบริเวณอ่าว ส่งผลกระทบให้ปริมาณการผลิตน้ำมัน 500,000 - 1.2 ล้านบาร์เรล/วันต้องหายไปในสภาพภูมิอากาศที่หนาวจัดที่สุดในรอบกว่า 30 ปี