ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความผันผวนของตลาด และสามารถปิดทำสูงสุดประวัติการณ์ได้ เพราะได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัท Verizon และ Chevron ที่ปรับขึ้น
ดัชนีดาวโจนส์ช่วงต้นตลาดอ่อนตัวลงกว่า 180 จุด ก่อนจะปิดขึ้น 90.27 จุด หรือ +0.3% ที่ 31,613.02 จุด
ดัชนี S&P 500 ปิด -0.1% ที่ 3,931.33 จุด หลังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วง -1%
ดัชนี Nasdaq ปิด -0.6% ที่ 13,965.49 จุด โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้น Apple -1.8%
หุ้นบริษัท Verizon ปรับขึ้นแรง 5.2% หลัง นายวอร์เร็น บัฟเฟต เจ้าของ Berkshire Hathaway เผยการเพิ่มการลงทุนในบริษัทเทเลคอมรายใหญ่ดังกล่าว โดยมีการเข้าซื้อมูลค่า 8 พันล้านเหรียญ ของมูลค่าหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 4/2020 ส่งผลให้ Verizon เป็นหนึ่งในกลุ่ม 6 บริษัทรายใหญ่ที่มีมูลค่าถูกถือครองมากที่สุด
หุ้นบริษัท Chevron ปรับขึ้นกว่า 3% หลัง Berkshire ระบุว่า เป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ที่ทางบริษัทเลือลงทุนจากผลประกอบการไตรมาส 4/2020 ออกมาดี
ดัชนี S&P 500 อ่อนตัว หลังรายงานประชุมเฟดม.ค. ส่งสัญญาณจะผ่อนคลายการเงินต่อไปตราบเท่าที่จะเห็นการฟื้นตัวก่อนการระบาดของไวรัส
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับการที่เฟดจะยุติ QE หลังจากที่เฟดส่งสัญญาณว่าการเข้าซื้อพันธบัตร ณ ปัจจุบันจะเกิดขึ้นจนกว่าจะเห็นว่าภารกิจของเฟดประสบความสำเร็จ
ข้อมูลค้าปลีกสหรัฐฯออกมาดีขึ้นกว่าที่คาด นักลงทุนกังวลว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจะยิ่งหนุนให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะยิ่งสูงขึ้น โดยยอดค้าปลีกสหรัฐฯออกมาดีขึ้นอย่างมากกว่า 5.3% ในเดือนม.ค. ซึ่งการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายผู้บริโภคเป็นตัวที่จะหนุนเงินเฟ้อและทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับขึ้น
สัญญาณการเพิ่มขึ้นของแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจมีการรีบาวน์จากที่เข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงไวรัสระบาด และเกิดการใช้มาตรการทางการเงินและนโยบายการเงินครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
สำหรับดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรวัดดัชนีราคาทางด้านภาคธุรกิจสำหรับสินค้าและบริการพบว่าปรับตัวขึ้นในเดือนม.ค.กว่า 1.3% ซึ่งเป็นระดับการปรับขึ้นได้มากที่สุดตั้งแต่มีการเริ่มเก็บข้อมูลดัชนีในช่วงเดือนธ.ค. ปี 2009
ที่มา: CNBC