• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564

    19 กุมภาพันธ์ 2564 | Economic News
   

·         ดอลลาร์อ่อนค่าหลังข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯไม่สดใส - ปอนด์แข็งค่า

ค่าเงินดอลลาร์ได้รับแรงกดดันต่อในวันนี้ หลังจากที่ปรับอ่อนค่าลงมากสุดในช่วง 10 วันทำการ โดยล่าสุดทรงตัวที่ 90.561 จุด อันได้รับแรงกดดันจากข้อมูลแรงงานสหรัฐฯที่ออกมาน่าผิดหวังเมื่อคืนนี้ ที่ส่งสัญญาณว่าอาจไปเร่งให้เกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น

ดอลลาร์อ่อนค่าลงจากสภาวะที่อยู่ในฐานะ Safe-Haven ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวานนี้ก็ร่วงลงหลังทราบข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นในรอบกว่า 1 เดือน บดบังทิศทางบวกทางเศรษฐกิจ

ค่าเงินปอนด์ค่อนข้างทรงตัวแนว 1.3965 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่แข็งค่าไปกว่า 0.8% เมื่อคืนนี้ทำสูงสุดที่ 1.3986 ดอลลาร์/ปอนด์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เม.ย. ปี 2018

ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.2093 ดอลลาร์/ยูโร หลังปรับขึ้นไป 0.4% วานนี้

ค่าเงินเยนแข็งค่าลงมาเคลื่อนไหวแถว 105.55 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่อ่อนค่าไปมากสุดรอบ 5 เดือนที่ระดับ 106.225 เยน/ดอลลาร์เมื่อคืนวันพุธ

นักวิเคราะห์หลายๆรายยังคาดว่ามีโอกาสจะเห็นดอลลาร์อ่อนค่าได้ต่อ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว

ค่าเงิน Cryptocurrency อย่าง Bitcoin เคลื่อนไหวบริเวณ 51,335.71 เหรียญ เป็นลักษณะสะสมพลังต่อเนื่อง 2 วันทำการ หลังไปทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์บริเวณ 52,640 เหรียญ  และตั้งแต่ม.ค. - ปัจจุบันปรับขึ้นได้แล้วราว 78%

Ethereum ปรับขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์บริเวณ 1,951.89 เหรียญในวันนี้ โดยยังปรับขึ้นต่อเนื่อง ก่อนที่จะอ่อนตัวมาซื้อขายบริเวณ 1,909.41 เหรียญ สำหรับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันปรับขึ้นได้ราว 162%

เมื่อวานนี้บริษัท Nvidia Corp ประกาศจะกำหนดกระบวนการใหม่โดยเฉพาะสำหรับเหมือง Ethereum


·         JP Morgan ชี้ Bitcion สะท้อนการเคลื่อนไหวตามทิศทางเศรษฐกิจและสภาวะการป้องกันความเสี่ยงที่ไม่ดี ในการจัดการกับราคาตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ดี JP Morgan ประเมินว่า มูลค่า Bitcoin อาจมีการเคลื่อนไหวกลางๆ และมีการเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กันมากขึ้นกับสินทรัพย์ในกลุ่มวัฎจักร


·         ไบเดน เปิดที่ประชุม G-7 ด้วยความมุ่งมั่นเรื่อง "วัคซีน", "เศรษฐกิจ" และ "จีน"

โดยในการประชุมกับบรรดาผู้นำ G-7 เป็นครั้งแรกของนายไบเดน ดูเหมือนเขาจะตั้งใจหารือเกี่ยวกับแผนการจัดการกับ Covid-19, การกลับมาเปิดทำการของเศรษฐกิจโลก รวมทั้ง ความท้าทายจากท่าทีของประเทศจีน

 

·         รัฐซูค (Zug) ของสวิตเซอร์แลนด์ ได้เริ่มรับชำระภาษีด้วยสกุลเงินบิตคอยน์และเงินอีเธอร์แล้ว โดยการชำระภาษีด้วยสกุลเงินคริปโตทั้งสองสกุลเงินนี้ ประชาชนสามารถทำได้โดยง่ายด้วยการสแกน QR code หรืออาจชำระผ่านทาง Crypto Wallet โดยมีการกำหนดวงเงินในการชำระภาษีด้วยสกุลเงินคริปโตไว้ไม่เกิน 100,000 ฟรังก์ หรือประมาณ 110,000 เหรียญ

 

·         ยอดค้าปลีกอังกฤษดิ่งลง -8.2% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบกับเดือนธ.ค. และเป็นการทรุดตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ถือเป็นระดับที่ย่ำแย่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ครั้งที่ 2 หลังจากที่ยอดค้าปลีกออกมาแย่มากสุดช่วงเดือนเม.ย. ปี 2020 จากการเริ่มต้นการระบาด

ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดได้รับผลกระทบจากการ Lockdown รอบใหม่ และการกู้ยืมที่น้อยกว่าคาด

 

·         ธนาคารกลางของจีนอัดฉีดเงินจำนวน 2 แสนล้านหยวน (ประมาณ 3.1 หมื่นล้านเหรียญ) เข้าสู่ตลาดผ่านทางสินเชื่อระยะกลาง (MLF) และกำหนดอัตราดอกเบี้ย 2.95%

ขณะที่ได้อัดฉีดเงิน หมื่นล้านหยวน (3.09 พันล้านเหรียญ) ผ่านทางข้อตกลง reverse repos ประเภทอายุ วันในวันนี้ และกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ 2.2% โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาสภาพคล่องในระบบธนาคารให้เพียงพอ

 

·         จีนเปิดเผยรายงานเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับทหาร นายที่ถูกสังหารในเดือนมิ.ย. ปี 2020 จากเหตุปะทะกับกองกำลังอินเดียบริเวณเทือกเขาหิมาลัย โดยจีนอ้างว่าการต่อสู้กันดังกล่าวมีสาเหตุจาก "กองกำลังต่างชาติ" ละเมิดข้อตกลงและมีการข้ามพรมแดนมายังฝั่งของประเทศจีน

 

·         โพลล์สำรวจจากสำนักข่าว Reuters ระบุว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นประจำเดือนม.ค.มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน เนื่องจากกิจกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นทั่วโลก จึงช่วยเพิ่มความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

แต่ยอดค้าปลีกซึ่งเป็นมาตรวัดสำคัญของการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ซึ่งบ่งชี้ว่าการระบาดของไวรัสดังกล่าวยังคงทำให้การบริโภคลดลง

ด้านนักวิเคราะห์ คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสปัจจุบันจะหดตัวลง เนื่องจากภาวะฉุกเฉินในท้องถิ่นในบางพื้นที่รวมถึงโตเกียวที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค

ขณะที่ผลผลิตโรงงานของญี่ปุ่นเดือนม.ค.คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.0% เมื่อเทียบจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งดีดตัวขึ้นจากการปรับลดลง 1.0% ในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา

 

·         ไบเดนดูจะกลับสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน "ยากขึ้น" หลังอิหร่านกำหนดเส้นตาย 21 ก.พ. นี้

ทีมบริหารของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ  ต้องการฟื้นคืนข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านฉบับปี 2015 แต่การร้องขอจากทางอิหร่านดูจะเปลี่ยนแปลงไป เนื่องด้วยต้องการให้มีการถอนมาตรการคว่ำบาตรที่ทีมบริหารของนายทรัมป์เคยดำเนินการไว้

อิหร่าน ระบุว่า จะไม่ยอมกลับเข้าสู่ข้อตกลงอย่างเด็ดขาด จนกว่าสหรัฐฯจะมีการถอนมาตรการคว่ำบาตร และทางอิหร่านก็มีการกำหนดเส้นตายภายในวันอาทิตย์ที่ 21 ก.พ.นี้ว่า *"หากมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันและภาคธนาคารยังไม่ถูกยกเลิก"* ก็จะเกิดคำสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของ U.N. ในการเข้าถึงโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน

ภาวะทางการเมืองระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดคำถามตามมาว่า นายไบเดนจะมีแผนรับมือเพื่อกอบกู้ข้อตกลงดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นไร หลังจากที่นายทรัมป์ อดีตประธานาดิบดีคนก่อนได้ทำการยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวเมื่อปี 2018


·         สถานการณ์พม่ายังรุนแรง ล่าสุดชายที่ไปร่วมประท้วงที่ถูกยิงที่ศรีษะในสัปดาห์ที่ผ่านมา เสียชีวิตแล้ว

 

·         Pfizer/BioNtech เผยประสิทธิภาพวัคซีน Covid-19 สูงถึง 85% หลังฉีดเข็มแรก

โดยอ้างอิงจากข้อมูลการศึกษาของ Israeli Study หลังจากนำวัคซีนบริษัทดังกล่าวไปฉีดตามโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของประเทศ และพบว่าในกลุ่มเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพกว่า 7,000 คน เห็นประสิทธิภาพที่ดีของวัคซีน

นอกจากนี้ โดยรวมยังเห็นอัตราการติดเชื้อลดลงกว่า 85% หลังจากรับวัคซีนไปแล้ว 15 - 28 วัน ขณะที่กรณีของผู้ไม่แสดงอาการพบว่าแพร่เชื้อลดลง 75%

 

·         ผู้เชี่ยวชาญโรคระบาดพิเศษ ชี้ วัคซีน Covid-19 เข็มที่ 2 จำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ได้โดยสมบูรณ์ พร้อมๆกับสามารถต้านไวรัสสายพันธุ์ใหม่ด้วย

 

·         สำนักงานอัยการสูงสุดของบราซิล (AGU) เผยว่า บราซิลได้ฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา ให้กับประชาชนที่มีอายุ 90 ปีขึ้นไปครบแล้ว และฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ไปแล้วกว่า 70%

ทั้งนี้ รัฐบาลระบุว่าประชาชนทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราและผู้พิการตามเงื่อนไขที่ทางการกำหนดไว้ ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนด้วยเช่นกัน


·         ยอดเสียชีวิตจาก Covid ในประเทศแอฟริการทะลุ 100,00 ราย จาก Second Wave

 

·         ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่กว่า 90 ราย คาดติดเชื้อจากต่างประเทศ

หนังสือพิมพ์ไมนิจิของญี่ปุ่นได้รายงานว่า หน่วยงานด้านสาธารณสุขของญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่มากกว่า 90 ราย

โดยรายงานข่าวดังกล่าวมีการอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันวิจัยโรคระบาดแห่งชาติของญี่ปุ่นว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่พบล่าสุดนี้ คาดว่าเป็นการแพร่ระบาดมาจากต่างประเทศ แต่พบว่าเป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างจากสายพันธุ์ที่มีต้นตอการแพร่ระบาดในอังกฤษและแอฟริกาใต้


·         อินโดฯติดโควิดทะลุ 1,250,000 ราย ตายเกือบ 34,000 ราย สูงสุดในอาเซียน

กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียเปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีจำนวน 9,039 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,252,685 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

ส่วนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่มีจำนวน 181 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตรวม 33,969 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในอาเซียนเช่นกัน

 

·         ยอดติดเชื้อ Covid-19 ในอินเดียพุ่งขึ้นทำสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์ กว่า 13,193 ราย ท่ามกลางมุมไบออกกฎหมายบังคับการสวมใส่หน้ากากอนามัย

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

ศบค.พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 130 ราย ในปท.61-ตรวจเชิงรุก55-ตปท.14 ตาย 1


ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 130 ราย ประกอบด้วย ผู้ติดเชื้อในประเทศจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 61 ราย โดยมาจากสมุทรสาคร 35 ราย ปทุมธานี 10 ราย กรุงเทพมหานคร ราย พระนครศรีอยุธยา ราย นครปฐม ราย และนนทบุรี ราย ส่วนผู้ติดเชื้อในประเทศจากค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 55 ราย โดยมาจากสมุทรสาคร 36 ราย ปทุมธานี 12 ราย และนครปฐม ราย และผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าพักในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 14 ราย โดยมาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเดนมาร์ก ประเทศละ ราย มาจากเยอรมนี และเมียนมา ประเทศละ ราย มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา อิตาลี คูเวต และสาธารณรัฐแคมารูน ประเทศละ ราย

 

·         ราคาน้ำมันดิบมีการซื้อขายแดนบวกจนกว่าวิกฤตพลังงานและสภาพภูมิอากาศหนาวจัดในสหรัฐฯจะจบลง

การซื้อขายในตลาดเอเชียวันนี้ พบว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI อ่อนตัวลงมา -1.49% แถว 59.62 เหรียญ/บาร์เรล แต่ตั้งแต่เดือนพ.ย. เป็นต้นมา WTI ปรับพุ่งไปแล้วเกือบ 69%

ขณะที่ Brent วันนี้อ่อนตัวลงมา -1.25% บริเวณ 63.13 เหรียญ/บาร์เรล และตั้งแต่พ.ย. น้ำมันดิบ Brent ทะยานขึ้นมาได้กว่า 68%

Commonwealth Bank คาดว่าช่วงสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI จะอยู่แถวระดับ 65 เหรียญ/บาร์เรล และดูเหมือนจะเป็นการปรับลดจากคาดการณ์เดิมลงมา

ทั้งนี้ กระแสคาดการณ์เกี่ยวกับวัคซีน Covid-19  ค่อนข้างเป็นไปในเชิงบวกสำหรับราคาน้ำมัน และประมาณ 2ใน 3 ของการอุปโภคบริโภคน้ำมันมาจากการใช้รถยนต์และการขนส่ง ดังนั้น ข่าวเชิงบวกใดๆเกี่ยวกับสถานการณ์ Covid-19 ก็ดูจะมีผลต่อราคาน้ำมันและคาดการณ์อุปสงค์น้ำมัน

อย่างไรก็ดี ต้องระวังการตัดสินใจของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่ ณ ปัจจุบันยังมีการคงระดับการผลิตในระดับต่ำ จึงช่วยให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้  และนี่จะกลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมเราจึงเคยคาการณ์ว่าน้ำมันดิบช่วงสิ้นปีมีโอกาสไปแถว 70 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com