· HSBC ประกาศถอนตัวออกจากธนาคารรายย่อยของสหรัฐฯ เนื่องจากธนาคารขนาดใหญ่ของยุโรปตั้งเป้าที่จะจัดการกับธุรกิจในระยะยาว ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูง
· UBS Global Wealth Management ระบุว่า มูลค่าและหุ้นกลุ่มวัฎจักร "มีความน่าสนใจ" มากกว่า Cryptocurrency ในเวลานี้ เนื่องจากค่าเงินดิจิทัลค่อนข้างมีปัจจัยพื้นฐานที่ค่อนข้างยากที่จะสนับสนุนการเคลื่อนไหวของราคาในปัจจุบัน
· ดัชนีอนุพันธ์สหรัฐฯปรับตัวขึ้น แม้หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่จะปรับลง
ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับขึ้นประมาณ 96 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ฟิวเจอร์ส และ Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส ต่างก็เคลื่อนไหวในแดนบวก
อย่างไรก็ดี มีความคืบหน้ามากขึ้นของบริษัท Facebook ที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลออสเตรเลียได้ และจะมีการคืนค่าเพจข่าวให้แก่ประเทศอีกครั้ง
· ตลาดหุ้นขาขึ้น - ผู้เชี่ยวชาญชี้การขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะเร่งการเปลี่ยนแปลงของบริษัทรายใหญ่
นายจูเลียน เอ็มมานูเอล ผู้อำนวยการด้านตลาดหุ้นและการวางกลยุทธ์สินค้าอนุพันธ์จาก BTIG ระบุว่า การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเวลานี้เอื้อต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากกว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อทิศทางเศรษฐกิจ, Cryptocurrency, และตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน
ทั้งนี้ ADRs ที่เป็นกลุ่มย่อยของบริษัทรายใหญ่ในจีน จะได้รับประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนและหนุนภาคการเงิน จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจีนที่มักปรับขึ้นตามการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
นอกจากนนี้ การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนของตลาดยังทำให้ Cryptocurrency มีความน่าดึงดูดใจมากขึ้น
สำหรับกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐฯมากขึ้น ยังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม "การเงิน" และ "พลังงาน"
ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มอื่นๆก็จะยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะ "กลุ่มเทคโนโลยีรายใหญ่" ที่น่าจะปรับตัวลงเพื่อเข้าถือหุ้นกลุ่มวัฎจักรมากขึ้น แต่ระบบ Algoritmic Trading จะเป็นตัวสร้างความผันผวนและทำให้เกิดแรงเทขายอย่างมากในหุ้นกลุ่มหลัง
อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 ช่วงสิ้นปีมีโอกาสแตะเป้าหมาย 4,000 จุดได้ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3% จากระดับปิดตลาดในวันจันทร์ที่ผ่านมา
· ตลาดหุ้นเอเชียรีบาวน์จากระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ท่ามกลางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนกระแสคาดการณ์ของตลาดเกี่ยวกับมุมมองการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯและแนวโน้มเงินเฟ้อกดดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนี Stoxx 50 futures และดัชนี DAX futures เพิ่มขึ้น 0.2% ด้านดัชนี FTSE FFIc1 และดัชนี S&P 500 E-mini futures ก็เพิ่มขึ้น 0.5%
ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น 0.4% ที่บริเวณ 726.6 จุด หลังจากร่วงลงไปที่บริเวณ 719.8 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบสองสัปดาห์ สำหรับภาพรวมรายปียังคงเพิ่มขึ้นประมาณ 9%
ทั้งนี้ จากการปรับตัวขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้ดัชนี S&P/ASX 200 ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้นเกือบ 0.9% ดัชนี Straits Times ของสิงคโปร์อยู่ที่ 0.6% และไต้หวันเพิ่มขึ้น 0.2% ฮ่องกงพุ่งขึ้น 1% ขณะที่ Kospi ของเกาหลีใต้ ลดลง 0.3%
สำหรับวันนี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะปิดทำการเนื่องในวัน The Emperor's Birthday
· ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวลดลง ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากการปรับฐานอย่างรุนแรงในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางจีนเข้ามาคุมเข้มนโยบาย แม้ว่าการปรับตัวลงจะถูกจำกัดจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของหุ้นภาคการเงินก็ตาม
ทัง้นี้ ดัชนี blue-chip CSI300 ปิด -0.3% ที่ระดับ 5,579.67 ขณะที่ดัชนี Shanghai Composite ปิด -0.2% ที่ระดับ 3,636.36 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยเหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังประเด็นไวรัสโคโรนา การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการราบงานผลประกอบการ
โดยดัชนี Stoxx600 เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัว ด้านหุ้นน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้น 1.9% ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีลดลง 0.9%
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวยังคงมีแนวโน้มที่ระมัดระวังมากขึ้น ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่ให้ความสนใจไปยังหุ้นเทคโนโลยีที่ปรับลดลงเมื่อคืนนี้ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- หุ้นไทยปิดเช้าพุ่ง 21.76 จุด เทคนิคเคิลรีบาวด์สอดคล้องภูมิภาคเก็งถ้อยแถลง ปธ.เฟด
ตลาดหลักทรัพย์ฯปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,499.90 จุด เพิ่มขึ้น 21.76 จุด (+1.47%) มูลค่าการซื้อขายราว 46,940 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,501.21 จุด และระดับต่ำสุด 1,486.18 จุด
- ส.อ.ท. หวั่นส่งออกปี 2564 อาจโตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 3-4% ได้หากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ลากยาวถึงสิ้นปี ลุ้นรัฐเร่งหาทางออกร่วมกัน ขณะที่ค่าเงินบาทอาจซ้ำเติมหลังเริ่มหลุด 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หวั่นแข็งค่าต่อเนื่องลุ้น ธปท.ดูแลใกล้ชิด
- ททท.ทำแผนดึงต่างชาติฉีดวัคซีนเข้าไทยเป็นกลุ่มแรก หลังหารือศบค. สำรวจความสนใจนักท่องเที่ยวทั่วโลกพร้อมเดินทางเที่ยวไทย ลุยจับมือทีวี สื่อออนไลน์ ดึงดารา-เน็ตไอดอลทำเรียลลิตี้โชว์เชียงใหม่-ภูเก็ต ดึงกลุ่มที่ชอบผู้ชายใกล้ชิดเที่ยวผ่านซีรีส์วาย
- กลุ่มราษฎรนัดรวมพลชุมนุม "ม็อบตำรวจล้มช้าง" วันที่ 23 ก.พ.นี้ 5 โมงเย็น ที่ราชประสงค์ พร้อมชวนตำรวจมาร่วมล้มช้าง
- ศบค.เห็นชอบผ่อนคลายจัดกิจกรรมแข่งกีฬา-อีเวนท์,กักตัวนักท่องเที่ยวในเรือ
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่วานนี้ เห็นชอบผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมต่างๆ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการแนวปฎิบัติสำหรับกรณีการบินขนส่งผู้โดยสารแวะต่อเที่ยวบิน (Transit Flight) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยทางสายการบินต้องตรวจคัดกรองและตรวจเอกสารจากต้นทาง โดยเมื่อมาลงที่สนามบินต้องกำหนด Seal Route จัดพื้นที่เฉพาะ ไม่ให้ออกนอกพื้นที่ที่กำหนดเป็นเวลา 12 ชั่วโมง
· อ้างอิงจากสำนักข่าวประชาชาติธุรกิจ
- กางแผน สธ.ลุยฉีดโควิดเข็มแรก มี.ค. ดึง “ไทยเบฟ-SCG” ขนวัคซีน
วัคซีน Sinovac จากจีนลอตแรก 2 แสนโดส ถึงไทย 24 ก.พ.นี้่ กรมวิทย์ฯตรวจคุณภาพ 5 วันพร้อมกระจายสู่จังหวัดเป้าหมาย เร่งฉีดคน 3 กลุ่ม นพ.โสภณ เมฆธน ประธานอนุ กก.บริหารจัดการวัคซีนฯ มั่นใจโรงพยาบาล-บุคลากร-ระบบโลจิสติกส์พร้อมเต็มร้อย ฉีดได้ทันทีที่วัคซีนกระจายถึง