สัมพันธ์การค้าสหรัฐฯ-จีนยัง “คุกรุ่น” ทีมบริหารไบเดนคงท่าทีเข้มงวดกับจีนเหมือนยุคทรัมป์ และแนวโน้มดังกล่าวดูจะยัง “ท้าทาย” อยู่หลังจบเจรจาระดับสูงที่รัฐอลาสกา เพราะจะเห็นได้ชัดว่า ทีมบริหารไบเดนไม่มีแผนจะ “ยกเลิก” ความเข้มงวดใดๆที่ยุคนายทรัมป์ดำเนินการไว้กับจีน
นายแอนโธนี บลินคินส์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในการประชุมเป็นฝ่ายเริ่มย้ำถึง สหรัฐฯยังให้ความสนใจอย่างมากต่อความกังวลในเรื่องการปฏิบัติต่างๆของจีน อาทิ
- การละเมิดสิทธิมนุษยชนในมณฑลซินเจียง, ฮ่องกง และไต้หวัน
- การโจมตีทางไซเบอร์ต่อสหรัฐฯ
- การบีบบังคับทางเศรษฐกิจกับชาติพันธมิตรสหรัฐฯ
นายหยาง เจี๋ยฉือ ผู้อำนวยการคณะกรรมาธิการศูนย์กลางสัมพันธ์ระหว่างประเทศของพรรคคอมนิวนิสต์ ระบุว่า “สหรัฐฯไม่มีการกล่าวถึงแนวโน้มในการจะเปลี่ยนท่าทีที่แข็งกร้าวกับจีน”
ตลอดการเจรจาระหว่างสองประเทศแม้ว่าจะมีทิศทางทางการทูตที่ดีขึ้นมากกว่าเศรษฐกิจ และทีมบริหารไบเดนทางด้านการค้ายังมีท่าทีเข้มงวดอยู่ ซึ่งสร้างความปั่นป่วนด้านโดยมากในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าระดับโลก
ข้อมูลจาก USTR เผย ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศคู่ค้าในการซื้อขายสินค้ารายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯ รวมมูลค่า 5.581 แสนล้านเหรียญ ในลักษณะ Two-way ในปี 2019
นอกจากนี้ จีนยังเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่ใหญ่ลำดับที่ 3 ของสหรัฐฯด้วย และการซื้อขายสินค้าเกษตรรวมมูลค่า 1.4 พันล้านเหรียญ
นาย คลีม วิลเลมส์ อดีตทนายประจำ WTO ประจำสำนักงาน USTR และเป็นหนึ่งในทีมบริหารด้านการค้าของนายทรัมป์ ระบุ เขาไม่แปลกใจที่ไม่เห็นความคืบหน้าใดในการเจรจาการค้า แต่กลับเห็นโอกาสที่ต่างฝ่ายใช้วาทะศิลป์ในการตำหนิซึ่งกันและกัน และให้น้ำหนักการบรรเทาทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย พร้อมระบุว่า รัฐบาลจีนคิดผิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของทีมบริหารไบเดน และพวกเขาคิดว่าทีมไบเดนจะผ่อนปรนมากกว่ายุคของนายทรัมป์ และจีนได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นไปอย่างที่คิด แต่พวกเขาแค่ต้องการฟังและยืนยันแนวความคิดโดยตรงจากปากของนายบลินคลินส์
ท้ายที่สุดนี้ ในการเจรจาการค้ากับจีนยังเป็นเรื่องสำคัญแต่โอกาสในการปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของประเทศสหรัฐฯและเทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่สหรัฐฯมุ่งเน้นด้วยเช่นกัน
ที่มา: CNBC