ประธานเฟดกับมุมมองเศรษฐกิจแข็งแกร่ง แต่ยังห่างไกลจากการโตได้อย่าง “สมบูรณ์”
นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ “มีการฟื้นตัวอย่างมาก” โดยได้รับอานิสงส์แต่สภาคองเกรสและเฟดที่เตรียมการสนับสนุนครั้งใหญ่ แต่ในเวลาเดียว ประธานเฟดก็กล่าวเตือนว่า การฟื้นตัวดังกล่าวยังห่างไกลจาก “การเติบโตได้อย่างเต็มที่” แม้จะเห็นถึงการเติบโตที่รวดเร็วมากขึ้นและแนวโน้มเป็นไปอย่างแข็งแกร่งก็ตาม ดังนั้น เฟดจึงจะเดินหน้าสนับสนุนเศรษฐกิจต่อไปตราบเท่าที่จำเป็น
ขณะเดียวกัน ประธานเฟดก็ยังย้ำถึงการเตรียมตัวในการกล่าวถ้อยแถลงต่อสภาคองเกรสในววันนี้ ถึงประเด็นที่จะหารือถึง
- การเพิ่มค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน
- การฟื้นตัวอย่างเต็มที่ของภาคที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ดี ภาพรวมภาคส่วนต่างๆของเศรษฐกิจสหรัฐฯโดยส่วนใหญ่ยังคงได้รับผลกระทบจากการะรบาดของไวรัสโคโรนา ประกอบกับการใช้มาตรการเว้นระยะทางสังคม และยังทำให้ภาคส่วนทางเศรษฐกิจบางกลุ่มยัง “อ่อนแอ” และ “อัตราว่างงานยังอยู่แถว 6.2%” ซึ่งถึงแม้จะมีคาดการณ์เห็นข้อมูลดังกล่าวมีแนวโน้มปรับตัวลงแต่ก็ยังอยู่ต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของไวรัสโคโรนา
นอกจากนี้ การเตรียมตัวของนายโพเวลล์ ก็ดูจะมี “ท่าทีระมัดระวัง” ต่อมุมมองเชิงบวกเหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่เพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งก็ตาม
“โพเวลล์” ระบุว่า Cryptocurrency “ไม่มีประโยชน์โดยแท้จริงในการเป็นสินทรัพย์ที่สามารถกักเก็บมูลค่า”
นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวผ่านการประชุมวิดีโอออนไลน์ในเรื่องนวัตกรรมทางการเงินและการหารือเรื่องธนาคารดิจิทัลที่จัดโดย Bank of International Settlements (BIS)
สรุปความคิดเห็น “นายโพเวลล์”
- เฟดไม่สนับสนุนค่าเงินสกุลดิจิทัลหรือ Cryptocurrency เนื่องจากไม่ได้รับการหนุนหลังด้วยสินทรัพย์อื่น โดยแตกต่างจากดอลลาร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเฟด
- เฟดเล็งเห็นว่าเป็นเพียงสินทรัพย์เพื่อใช้เก็งกำไรเท่านั้น ที่มีลักษณะพื้นฐานคล้ายทองมากกว่าดอลลาร์
- Cryptocurrency ยังไม่มีเสถียรภาพและไม่สามารถใช้เพื่อกักเก็บมูลค่าได้
- เฟดไม่มีความเร่งรีบเพื่อแนะนำค่าเงินดิจิทัล
- เฟดมองว่าค่าเงินสกุลดิจิทัลมีความผันผวนสูง
อย่างไรก็ดี การกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าวดูจะกดดัน Bitcoin แต่ก็สามารถทรงตัวได้บริเวณ 57,000 เหรียญ และโดยรวม Bitcoin ก็ดูจะทำสูงขึ้นตลอดช่วง 7 เดือนท่ามกลางความนิยมในตลาดซื้อขายและการให้ความยอมรับจากอุตสาหกรรมทางการเงิน
ที่มา: CNBC