· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ขานรับมุมมองเชิงบวกด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่า
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าในรอบหลายเดือน เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากมุมมองเชิงบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และโครงการฉีดวัคซีน รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ปรับเพิ่มขึ้น
ค่าเงินยูโรยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน ก่อนที่ข้อมูลความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมันจะเปิดเผยออกมาในวันนี้ ซึ่งค่าเงินยูโรยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง เนื่องจากหลายประเทศในยุโรปกลับมาเริ่มกลับมาล็อคดาวน์ครั้งใหม่ และการชะลอการฉีดวัคซีนในยุโรป
ดอลลาร์แข็งค่าได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร แต่ก็มีการแข็งค่าด้วยเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักอื่นๆตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างมาก ส่งผลให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล่าวเตือนถึงการปรับแข็งค่าอย่างมากในปัจจุบันนี้
หัวหน้านักวิจัยตลาดโลกของ MUFG Bank เผยว่า ค่าเงินยูโร หลุดระดับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนไหว 200 วัน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีการเคลื่อนไหวในทิศทางขาลง
ดัชนีดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น โดยทรงตัวแถวบริเวณ 92.788 จุด ซึ่งปรับแข็งค่าสูงสุดในรอบสี่เดือน เนื่องจากยอดผู้ขอรับสวัสดิการคนว่างงานลดลงทำต่ำสุดรอบกว่า 1 ปี และนายโจ ไบเดนประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแผนจะฉีดวัคซีนให้ได้ 200 ล้านคน ภายในอีก 42 วันข้างหน้า ซึ่งเป็นปัยจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์อยู่ในขณะนี้
ค่าเงินเยนแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินบางสกุล และค่าเงินเยนยังคงจำกัดการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนยังคงเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์ให้แข็งค่าอยู่ในขณะนี้ แต่การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์อาจจะหยุดได้แค่นี้
ค่าเงินเยนแข็งค่า ที่ระดับ 109.21 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งปรับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.
ค่าเงินยูโรอ่อนค่า ที่ระดับ 1.1776 ดอลลาร์ /ยูโร
ค่าเงินปอนด์แข็งค่า ขึ้นที่ระดับ 1.3747 ดอลลาร์/ปอนด์ จากข้อมูลยอดค้าปลีกของอังกฤษที่ฟื้นตัวทำให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นอีก
ค่าเงินออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ กลับมาแข็งค่า จากที่อ่อนค่าในช่สงต้นสัปดาห์
ค่าเงินออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ กลับมาแข็งค่า จากที่อ่อนค่าในช่วงต้นสัปดาห์
โดยสกุลเงินออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ยังคงได้รับปัจจัยหนุนในการกลับมาฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
ทั้งนี้นักลงทุน จับตาข้อมูลผู้บริโภคส่วนบุคคลของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นสัญญาณถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ
· โปรตุเกสได้ขยายภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 15 วันเนื่องจากจะค่อยๆผ่อนคลายมาตรการ Lockdowns ที่เข้มงวดในช่วงกลางเดือนม.ค. โดยจะขยายเวลาออกไปจนถึงวันที่ 15 เม.ย. พร้อมเรียกร้องประชาชนระมัดระวังตนในช่วงวันหยุดเทศกาลอีสเตอร์ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่เลวร้ายที่สุดในโลก
· ออสเตรเลียพิจารณาโครงการฉีดวัคซีนไปยังปาปัวนิวกินี ซึ่งกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาอยู่ในขณะนี้
โดยมีโครงการกระจายวัคซีนแก่ปาปัวกินีจำนวน 588,000 โดสภายในเดือนมิ.ย.ภายใต้โครงการ COVAX เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ยากจน แต่ออสเตรเลียยังประสบปัญหาเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนในกลุ่มประเทศผู้ผลิต
· เกาหลีใต้ขยายมาตรการคุมโควิด หลังยอดติดเชื้อรายวันพุ่งสูงสุดในรอบหนึ่งเดือน
รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศขยายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันโควิด-19 ซึ่งรวมถึงการประกาศเคอร์ฟิวห้ามรับประทานอาหารนอกบ้านในตอนกลางคืน และห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คนเป็นเวลาสองสัปดาห์ หลังยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบหนึ่งเดือน
· สธ.เดินหน้ากระจายวัคซีนโควิดแม้มีผู้เสียชีวิต หลังแพทย์เชื่อวัคซีนไม่ใช่สาเหตุ
นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ COVID-19 ยืนยันว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขยังมีความมั่นใจในวัคซีน และยังคงมีความพร้อมในการเดินหน้ากระจายวัคซีน แม้พบผู้เสียชีวิตหลังได้รับวัคซีน โดยทางคณะแพทย์เชื่อว่า วัคซีนไม่ใช่สาเหตุของการเสียชีวิต
· ศุกร์นี้ตลาดจับตา "ยอดค้าปลีกอังกฤษ" - "ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ
โดยตลาดคาดค้าปลีกอังกฤษจะเติบโตได้ดีขึ้นอีกครั้ง มาที่ 2.1% เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่ Barclays มองว่าจะโตได้มากกว่าถึง 4.2% ซึ่งหากคาดการณ์ของทีมนักเศรษฐศาสตร์จาก Barclays ถูกต้อง ก็จะมีโอกาสเห็นข้อมูลเทียบปีชนปี ยอดค้าปลีกจะสามารถฟื้นตัวกลับได้จากที่ -5.9% มาเป็น -1.5%
ขณะเดียวกัน ตลาดก็ให้ความสำคัญกับข้อมูลเชื่อมั่นสหรัฐฯ และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลสหรัฐฯในคืนนี้ด้วย
· จีนเอาคืนคว่ำบาตรบุคคล-หน่วยงานอังกฤษตอบโต้กรณีชาวอุยกูร์
กระทรวงต่างประเทศจีนระบุในแถลงการณ์ว่า "บุคคล 9 ราย และหน่วยงาน 4 แห่งของอังกฤษได้เผยแพร่ข้อมูลที่หลอกลวงและเป็นเท็จด้วยจุดประสงค์ที่มุ่งร้ายเกี่ยวกับสถานการณ์ในซินเจียง"
กระทรวงต่างประเทศจีนระบุด้วยว่า "จีนจะไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืนในการปกป้องผลประโยชน์ด้านอธิปไตย, ความมั่นคง และการพัฒนา และยืนยันที่จะดำเนินการตอบโต้อย่างเต็มที่ หากอังกฤษยังคงดำเนินการในทางที่ผิด"
· ญี่ปุ่นอนุมัติร่างกฎหมายคุมเข้มข้อตกลงด้านที่ดินใกล้ฐานป้องกันเกาะชายแดน
คณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นอนุมัติร่างกฎหมายคุมเข้มข้อตกลงด้านที่ดินและการใช้ที่ดินใกล้สถานที่ทางทหารและเกาะชายแดน ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของญี่ปุ่น เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในต่างประเทศ
ทั้งนี้รัฐบาลมีแผนจะส่งร่างพระราชบัญญัติไปยังรัฐสภาซึ่งคาดว่าจะร่างผ่านภายในเดือนนี้
· ประชากรฮ่องกงหลายพันล้านคนเคลื่อนย้ายเม็ดเงินไปยังแคนาดา หลังจากที่ฮ่องกงล่มสลาย
ขณะที่จีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว หลังจากการประท้วงครั้งใหญ่ ผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองฮ่องกงได้ย้ายเงินหลายหมื่นล้านเหรียญจากทั่วโลกไปยังแคนาดาซึ่งต่างหวังว่าจะสร้างอนาคตใหม่
ทั้งนี้ FINTRAC หรือหน่วยงานต่อต้านการฟอกเงินของแคนาดา รายงานว่า เงินทุนไหลออกจากธนาคารฮ่องกงไปยังแคนาดาเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีการโอนเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (EFT) ประมาณ 4.36 แสนล้านดอลลาร์แคนาดา (3.48 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งยอดโอนเงินโดยรวมสูงกว่า 10,000 ดอลลาร์แคนาดา
· รายงานชี้เรือ Ever Given ขวางคลองสุเอซทำการค้าเสียหายชั่วโมงละ 400 ล้านดอลล์
วารสาร Lloyd?s List ซึ่งเป็นวารสารที่ให้ข้อมูลด้านการขนส่งทางทะเล รายงานว่า เรือ Ever Given ซึ่งเป็นเรือบรรทุกสินค้าขนาดยักษ์ที่เกยตื้นขวางคลองสุเอซมาตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา (23 มี.ค.) ทำให้เกิดความเสียหายด้านการค้าสูงถึงชั่วโมงละ 400 ล้านดอลลาร์ โดยประเมินจากมูลค่าสินค้าที่ส่งผ่านคลองสุเอซทุกวัน
· ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นจากความวิตกปัญหาเรือขวางคลองสุเอซยืดเยื้อหลายสัปดาห์
ราคาน้ำมันฟื้นตัวจากแรงเทขายอย่างรวดเร็วในวันก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้น 1% ในวันนี้เนื่องจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการย้ายเรือคอนเทนเนอร์ขนาดยักษ์ที่ขวางคลองสุเอซที่ขวางเส้นทางเดินเรือขนส่งน้ำมันอยู่
อย่างไรก็ตามราคายังคงอยู่ในแดนลบติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สาม โดยแนวโน้มความต้องการลดลงจากการจากมาตรการ Lockdowns เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในยุโรป
ทั้งนี้ น้ำมันดิบ Brent เพิ่มสูงขึ้น 54 เซนต์หรือ 0.9% ที่ระดับ 62.49 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากลดลง 3.8% ในเมื่อวานนี้
น้ำมันดิบ WTI ปรับเพิ่มขึ้น 65 เซนต์ หรือ 1.1% ที่ระดับ 59.21 เหรียญ/บาร์เรล จากเมื่อวานนี้ที่ลดลงไป 4.3%
โดยที่น้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิด รายสัปดาห์ลดลงประมาณ 3% หลังจากที่ลดลงมากกว่า 6% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว