ผลสำรวจจาก People’s Vaccine Alliance เผยมุมองนักระบาดวิทยา, นักไวรัสวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดส่วนใหญ่ ระบุว่า การกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอาจมีผลให้ประสิทธิภาพของวัคซีน Covid-19 ในปัจจุบันไร้ประสิทธิภาพได้ “ภายในปีนี้”
ภาพรวมผลสำรวจจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 77 คนทั่วโลก และสถาบันต่างๆกว่า 28 ประเทศ มองว่า กว่าสามในสี่ เชื่อว่าจะเห็นวัคซีนด้อยประสิทธิภาพลงจากการกลายพันธุ์ภายในกรอบเวลา 9 เดือนหรือน้อยกว่านั้น
ขณะที่ส่วนน้อยกว่า 1 ใน 8 เชื่อว่า การกลายพันธุ์จะนำมาซึ่งการลดประสิทธิภาพวัคซีนในปัจจุบันนี้ได้
กว่า 2 ใน 3 เชื่อว่า ภายในปีนี้หรือน้อยกว่านั้น ก่อนการกลายพันธุ์จะทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพลดลงหรือต้องมีการเรียกร้องการจัดหาวัคซีนตัวใหม่
หน่วยงานหรือสาถบันต่างๆ กว่า 50 แห่ง อาทิ African Alliance, Oxfam และ UNAIDS มีการร่วมกันรณรงค์โครงการ “การเข้าถึงวัคซีน Covid-19 อย่างเท่าเทียมกัน”
ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันชั้นนำส่วนใหญ่กว่า 88% ระบุว่า ปริมาณการได้รับวัคซีนในระดับต่ำสำหรับหลายๆประเทศ จะส่งผลให้เกิดการดื้อยาจากการกลายพันธุ์ในหลายๆประเทศได้ และผู้เชี่ยวชาญส่วนน้อยราว 10% มองว่าประเทศยากจนมีแนวโน้มจะได้รับการฉีดวัคซีนในปีหน้า
การได้รับวัคซีนและการสนับสนุนต่างๆ
การพัฒนาวัคซีนส่วนหนึ่งผ่านการทดสอบและได้รับอนุญาตใช้วัคซีนฉุกเฉินตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัคซีนของชาติตะวันตก อาทิ Moderna, Pfizer ร่วมกับ BioNTech และวัคซีนของ AstraZeneca ที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัย Oxford ที่ส่วนใหญ่มีการผลิตวัคซีนอยู่ในประเทศสหรัฐฯ, อังกฤษ หรือแม้แต่อียู ขณะที่จีนและรัสเซียมีการพัฒนาวัคซีนของประเทศเพื่อใช้งานเอง
“เวลา” ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการช่วยเหลือผู้คน ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนาที่ทะลุไปกว่า 127 ล้านคนทั่วโลก และมียอดเสียชีวิตสะสมที่ 2.7 ล้านราย นำโดย สหรัฐฯ, บราซิล, อินเดีย, ฝรั่งเศส และอังกฤษ ที่ยังเผชิญกับสภาวะที่ยากลำบากอยู่
การระบาดที่เพิ่มมากขึ้นของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 ในบางกรณีอาจจะแพร่กระจายได้มากขึ้น รวมไปถึงทำให้เกิดการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น และอาจสร้างความเสียหายได้มากขึ้น ขณะที่กลุ่มผู้พัฒนาวัคซีนมีความพร้อมที่จะประกาศหรือกำลังทำการพัฒนาวัคซีนเพิ่มเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการจัดการกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ถูกค้นพบในช่วงแรกๆ ได้แก่ ในประเทศอังกฤษ, แอฟริกาใต้ และบราซิล
มหาวิทยาลัย Oxford ระบุว่า การมาของวัคซีนของบริษัท AstraZeneca ที่พัฒนาร่วมกับ Oxford จะเป็น “ตัวแปรสำคัญ” ในการเปลี่ยนแปลง ท่ามกลางการสร้างภูมิคุ้มกันทั่วโลก ในราคาที่ถูกกว่าด้านการผลิต, การจัดเก็บ และการขนส่ง มากกว่าวัคซีนของบริษัทคู่แข่งอย่าง Moderna และ Pfizer แม้ว่าข้อมูลของวัคซีน AstraZeneca นั้นจะถูกสั่นคลอนความเชื่อมั่นในกลุ่มประชาชนหลายครั้งหลังมีผู้ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนดังกล่าว แต่ข้อมูลทดสอบทางการแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังแสดงให้เห็นถึง “ความปลอดภัย” และ “มีประสิทธิภาพ” ที่สามารถใช้ป้องกันและรักษาอาการ รวมทั้งยั้งอัตราการเสียชีวิตได้ ขณะที่อนาคต Astra Zeneca หวังว่าจะสามารถให้ทุกคนเข้าถึงวัคซีนของบริษัทได้อย่างไม่แสวงหาผลกำไร “ท่ามกลางการระบาดครั้งใหญ่” ที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยเหลือและส่งวัคซีนต่อไปยังประเทศที่มีรายได้น้อยหรือปานกลางได้
ที่มา: CNBC