· หุ้นการเงินฟอร์มแพทเทิร์นขาขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาในช่วงเกือบ 10 ปี
CNBC รายงานถึงหุ้นกลุ่มการเงินที่ดูจะร้อนแรงในปีนี้
โดย XLF ของหุ้นกลุ่มการเินใน ETF แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 17% หรือเป็นการปรับขึ้น 2 เท่าของดัชนี S&P500 แม้จะมีภาวะ Shockwave ในตลาดจากการที่บริษัท Archegos ถูกเรียก Margin Call และล้มเหลวในการชำระหนี้ที่มีรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นักวิเคราะห์ ระบุว่า ทิศทางของหุ้นกลุ่มการเงินกลายมาเป็น "ทิศทางที่เห็นถึงภาวะ Overbought อย่างมากในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา" และหากพิจารณาจากกราฟราคา จะเห็นได้ถึงเส้น RSI รายสัปดาห์ค่อนข้างเกิดภาวะ OVerbought ท่ามกลาง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีภาวะ OVerbought ที่เกิดขึ้นในตลาดที่อาจทำให้เราเห็นการดีดกลับของราคาชะลอตัวลง
อย่างไรก็ดี XLF ETF มีเส้นค่าเฉลี่ย RSI สำหรับการซื้อขายบริเวณ 72 สะท้อนเงื่อนไข OVerbought ที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ม.ค. ปี 2018 ที่เส้น RSI ในกลุ่มการเงินยืนได้เหนือนระดับ 50 จุด
อย่างไรก็ดี ระยะยาว ภาพรวมของหุ้นกลุ่มการเงินต่างๆยังเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 50 สัปดาห์ดูจะขยับใกล้เส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 200 สัปดาห์ จึงมีโอกาสเกิด "Golden Cross" ในภาพรายสัปดาห์ได้
การเกิดสภาวะ Golden Cross จะสะท้อนถึงภาวะ "ขาขึ้น" ในภาพรายวันได้ แต่ต้องให้เกิดขึ้นในภาพทางเทคนิคของกราฟรายสัปดาห์เสียก่อน และหากเกิดขึ้นจริงเรียกได้ว่าจะเป็นการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ช่วงปี 2012
· หุ้นอนุพันธ์สหรัฐฯปรับขึ้น หลังดัชนีหลักในตลาดปิดลบ นำโดย S&P500 ปิดต่ำกว่าสูงสุดประวัติการณ์
หุ้นอนุพันธ์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงต้นตลาดวันนี้ แม้ดัชนีหลักจะปิดแดนลบ นำโดย
Dow Jones Futures ปรับขึ้น 25 จุด หรือ +0.08%
S&P500 Futures ขยับขึ้น 0.07%
Nasdaq 100 Futures ปรับขึ้น 0.14%
หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายการลงทุนจาก Ally Invest กล่าวว่า ยังมีเหตุผลจำนวนมากที่สร้างความน่าตื่นเต้นให้อีกหลายเดือนจากนี้ ซึ่งภาพรวมเป็น "ปัจจัยบวก" ต่อตลาดทั้งหมด และ ณ ขณะนี้ ตลาดหุ้นค่อนข้างแข็งแกร่ง อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตลาดก็อาจมีการอ่อนตัวลงมาได้แม้จะมีข่าวดีเกือบทั้งหมด แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของทิศทางตลาดและปัจจัยกดดันตลาด อันเนื่องจากความไม่แน่นอนต่างๆ อาทิ "เงินเฟ้อ"
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ โดยถูกกดดันจากตลาดหุ้นจีน แม้ว่าเหล่านักลงทุนยังคงให้ความสนใจไปยังการประกาศผลประกอบการภาคบริษัทที่ส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนี Eurostoxx 50 futures -0.1%
ดัชนี FTSE futures +0.4%
ดัชนี Dax เยอรมันนีดัชนีดัชนี S&P E-Mini futures เคลื่อนไหวทรงตัว
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเคลื่อนไหวแถว 697.01 ซึ่งเป็นระดับสูงุสดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ดัชนีเผชิญแรงขายและลดลง 0.1% หลังจากหุ้นจีนและฮ่องกงเปิดตลาด พร้อมทั้งเคลื่อนไหวในแดนลบ หลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่แล้ว
· หุ้นญี่ปุ่นปิดปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางความหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้นจะกดดันความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนในตลาดก็ตาม
ดัชนี Nikkei ปิด +34.16 จุด หรือคิดเป็น +0.12% ที่ระดับ 29,730.79 จุด
ดัชนี Topx ปิด +13.09 จุด หรือคิดเป็น 0.67% ที่ระดับ 1,967.43 จุด
· ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวลดลง เนื่องจากบริษัทผู้บริโภคที่ฉุดตลาดให้ต่ำลงเนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอาจนำไปสู่การปรับนโยบายที่เข้มงวดได้
ดัชนี Shanghai Composite ปิด -0.1% ที่ระดับ 3,479.63
ดัชนี blue-chip CSI300 ปิด -0.71% โดยกลุ่มผู้บริโภควัตถุดิบหลักลดลง 3.01% หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 6.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว ด้านดัชนีภาคการเงินลดลง 0.39% และดัชนีด้านการดูแลสุขภาพลดลง 0.29%
· ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมผสานกัน เนื่องจากเหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังการเคลื่อนไหวของตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxxx600 ลดลง 0.1% ด้านหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและการพักผ่อนร่วงลง 1% เนื่องจากข้อจำกัดของมาตรการป้องกันไวรัสโคโรนาที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นในยุโรป ขณะที่หุ้นหลุ่มยานยนต์เพิ่มขึ้น 0.6%
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ตลาดหุ้นไทยปิดเช้าร่วง 14.56 จุด สวนภูมิภาค ขายลดความเสี่ยงหลังโควิดในปท.ระบาดหนัก
ตลาดหลักทรัพย์ฯปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,565.10 จุด ลดลง 14.56 จุด (-0.92%) มูลค่าการซื้อขายราว 56,684.54 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงเช้า โดยทำระดับสูงสุด 1,570.69 จุด และระดับต่ำสุด 1,557.48 จุด
- พาณิชย์ เผย CPI เดือน มี.ค.64 หดตัว -0.08%, Core CPI เพิ่มขึ้น 0.09%
นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือนมี.ค64 อยู่ที่ 99.11 ลดลงเล็กน้อยที่ -0.08% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ CPI เฉลี่ยไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) ลดลง -0.53%
ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เดือนมี.ค.64 อยู่ที่ 100.42 เพิ่มขึ้น 0.09% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ Core CPI เฉลี่ยไตรมาสแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 0.12%
- คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติให้ Bitkub เปิดรับลูกค้าใหม่ได้ตามปกติ
คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติในการประชุมครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 ให้บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) สามารถเปิดรับลูกค้าใหม่ได้ตามปกติตั้งแต่เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ภายหลัง Bitkub ได้ดำเนินการแก้ไขระบบงานต่าง ๆ และบุคลากรให้มีความเหมาะสมและเพียงพอต่อปริมาณธุรกิจ เป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
- ธปท.จ่อถก ผู้ค้าทอง เม.ย.นี้รับฟังความคิดเห็น หลังเปิดทางใช้ดอลลาร์ซื้อขายทองคำ หวังเป็นทางเลือกในการชำระเงินเพิ่ม หนุนบาทเคลื่อนไหวมีเสถียรภาพ ลดผันผวนมากขึ้น พร้อมเตรียมแถลงความคืบหน้าการสร้างระบบนิเวศอัตราแลกเปลี่ยน เม.ย.นี้
- กระทรวงคลังเล็งทบทวนสัดส่วนถือหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ 119 แห่ง มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท ชี้ยึดหลักประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และคำนึงถึงความจำเป็นการใช้ของเงินภาครัฐ
- อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปีนี้กระทรวงพาณิชย์มีแผนผลักดันการส่งออกข้าวไทยด้วยการเจรจาขายข้าว
แบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายที่อินโดนีเซีย บังกลาเทศ และจีน ซึ่งในส่วนของอินโดนีเซีย และบังกลาเทศ มีกรอบลงนาม (เอ็มโอยู) ซื้อข้าวจากไทยแล้วปีละ 1 ล้านตัน ส่วนจีนมีเอ็มโอยูที่ได้ลงนามภายใต้กรอบความร่วมมือรถไฟความเร็วสูงซึ่งได้ลงนามไปแล้ว 1 ล้านตันแรก แต่ทางจีนสั่งซื้อข้าวจากไทยเพียง 7 แสนตัน โดยยังเหลืออีกจำนวน 3 แสนตัน โดยกรมพยายามเร่งรัดให้จีนนำเข้าข้าวในส่วน 3 แสนตันที่เหลืออย่างต่อเนื่อง
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังเตรียมปรับประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564 ในวันที่ 28 เม.ย. นี้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ชะลอตัวจากเดิมเคยคาดไว้ที่2.8% และมีแนวโน้มจะขยายตัวเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินไว้ ว่าปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ถึง 3%