ข้อมูลอ้างอิงจากบริษัทวิจัย EPFR Global ระบุว่า บรรดานักลงทุนมีการเพิ่มเม็ดเงินหลายพันล้านเหรียญในกองทุนตลาดหุ้นมากกว่าของจีน
ผู้อำนวยการจากสถาบัน EPFR กล่าวว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ “เลือกที่จะลงทุนแบบเล่นสั้นๆในสหรัฐฯ” จากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศจีน จึงส่งสัญญาณว่าจะทำให้เศรษฐกิจโตได้มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งปีหลัง
ผลประโยชน์ของกองทุนในสหรัฐฯ-จีนเพิ่มมากขึ้น
บริบททางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในกองทุนหุ้นของสหรัฐฯและจีน ทั้ง 2 ประเทศกำลังสร้างความน่าดึงดูดเม็ดเงินในการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้นในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา
เม็ดเงินสุทธิในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มปี 2020 อยู่ในแดนลบจนถึงเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว แต่ก็สามารถพลิกฟื้นกลับมา “แดนบวก” ได้ในช่วงสัปดาห์แห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จนถึงสิ้นสัปดาห์เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่มีเม็ดเงินเพิ่มมากกว่า 1.7 แสนล้านเหรียญ
ในทางกลับกัน หุ้นจีนที่เคยมีสถานะเงินทุนสุทธิเป็นบวกตั้งแต่ปีที่แล้วสูงกว่าสหรัฐฯจนถึงราวเดือนธ.ค. และล่าสุดสถานะเงินทุนสุทธิที่สิ้นสุดเมื่อ 7 เม.ย. อยู่ที่ 2.978 หมื่นล้านเหรียญ
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า “เงินทุน” สู่ตลาดจีนกำลัง “จบลง”
ท่ามกลาง “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” ที่ทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ในปี 2021 นี้ จะเห็นได้ว่า ดัชนี Shanghai Composite กลับ “เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย” ตั้งแต่เดือนธ.ค. ปี 2020
นักลงทุนมือใหม่นับล้านๆ ที่เข้าสู่ตลาดหุ้นจีนในปีที่แล้วสำหรับหุ้นท้องถิ่น ก็เริ่มมีความกังวลต่อกระแสคาดการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่แล้วที่กลุ่มผู้กำหนดนโยบายของจีน “ย้ำเตือน” ถึงความเสี่ยงในตลาดการเงิน
บรรดานักวิเคราะห์ ระบุว่า จีดีพีจีนมีการกำหนดเป้าหมายปีนี้ไว้ที่ 6%b ขณะที่ประเทศอื่นๆส่งสัญญาณโตได้ช้ากว่า ท่ามกลางหลายๆประเทศที่เริ่มจะต้องการลดปัญหาระยะยาวเกี่ยวกับระดับหนี้ที่สูงเป็นจำนวนมหาศาล
ดังนั้น กองทุนทางๆ อาจมีการเข้าถือสินทรัพย์จีน จึงอาจทำให้เราเห็น “อุปสงค์ยังคงแข็งแกร่ง” จากำกลุ่มนักลงทุนรายย่อย ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนอาจมีการสนับสนุนภาคการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดหุ้นท้องถิ่นเพื่อให้ง่ายต่อภาคบริษัทในการเข้าถึงสาธารณชน และสร้างขวัญกำลังในให้สถาบันต่างประเทศเลือกลงทุน