• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 19 เมษายน 2564

    19 เมษายน 2564 | SET News



·         ภาวะ "ตลาดหุ้นขาขึ้น" อาจทำให้เห็นหุ้นสหรัฐฯปรับขึ้นได้อีกกว่า 8% ภายในเดือนก.ค. นี้ แต่ก็ยังปราศจากความชัดเจนในช่วงที่เหลือของปี

CNBC รายงานถึงตลาดหุ้นต่างๆมีการทำ All-Time Highs ต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นรวมถึง "หุ้นสหรัฐฯ" ที่มีภาวะ "ขาขึ้น" ร้อนแรงและสดใสในทิศทางเชิงบวก

หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดหุ้นฝ่ายการลงทุนของบริษัท Federated Hermes เชื่อว่า ดัชนี S&P500 ช่วงสิ้นปีนี้อาจขึ้นไปหาระดับเป้าหมาย 4,500 จุดได้ หรือปรับขึ้นได้ราว 8% จากระดับปัจจุบันเวลานี้

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จาก

- ทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

- รายงานการเติบโตของผลประกอบการบริษัทต่างๆ

ขณะเดียวกันในสัปดาห์ที่แล้วบริษัท Federated Hermes ก็มีการปรับเพิ่มมุมองจีดีพีสหรัฐฯปีนี้สู่ระดับ 6.4% (เดิมคาด 6.1%) และจะตามมาด้วยระดับการขยายตัวรายปีที่แกร่งที่สุดตั้งแต่ปี 1984 ที่ประมาณ 7.2% อันเป็นผลจากการใช้แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านเหรียญ

นอกจากนี้ ภาพรวมช่วงไตรมาสที่ 1/2021 จะเห็นได้ว่า "รายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆ" ค่อนข้างออกมาแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นได้ 30% เมื่อเทียบรายปี สะท้อนว่า ภาวะถดถอยของผลประกอบการนั้น "สิ้นสุด" ลงแล้ว

ขณะที่ช่วงไตรมาสที่ 2/2021 นี้ อาจเห็นรายงานผลประกอบการฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่มากขึ้น จากแรงหนุนเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่อาจเห็นการปรับขึ้นได้เป็น 2 เท่าเมื่อเทียบรายปี

อย่างไรก็ดี หากเงินเฟ้อพิสูจน์แล้วว่าปรับขึ้นได้ ก็เชื่อว่าเฟดน่าจะยังเดินหน้าผ่อนคลายแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินต่อไปในปี 2021


·         ดัชนีฟิวเจอร์สตลาดเคลื่อนไหวผสมผสาน หลังจากที่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Dow Jones ปิดทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ดัชนี Dow Jones futures ลดลง 80 จุด

ดัชนี S&P 500 futures เคลื่อนไหวทรงตัว

ดัชนี  Nasdaq 100 futures เคลื่อนไหวในแดนบวก

 

·         ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดในรบ 1 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเดี่ยวกับนโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลายทั่วโลก ขณะที่โครงการฉีดวัคซีนจะช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรสโคโรนา

 




ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นที่บริเวณ 699.70 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา 

โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วดัชนีเพิ่มขึ้น 1.2% ภาพรวมรายปีเพิ่มขึ้น 5.1% เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 3 

ด้านหุ้นของออสเตรเลียไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงปิดของวันศุกร์

ขณะที่หุ้นนิวซีแลนด์เพิ่มขึ้น 0.6% และดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 0.1%

 

·         ดัชนี Topix ปิดปรับตัวลดลง ขณะที่ดัชนี Nikkei เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งกดดันการปรับตัวสูงขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับชิป

ดัชนี Topix ปิด -0.2% ที่ระดับ 1,956.56 จุด

ดัชนี Nikkei ปิด +0.01% ที่ระดับ 29,685.37 จุด

ทั้งนี้ เหล่านักวิเคราะห์ระบุว่า ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาตกลงกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่จะร่วมมือกันลงทุนในห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลนชิปทั่วโลก ซึ่งถือเป็นผลดีต่อ บริษัทเคมีและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น


·         ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนี blue-chip ทำระดับวันดีที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ นำโดยการเพิ่มขึ้นของบริษัท รถยนต์พลังงานใหม่ โดยดัชนีรถยนต์พลังงานใหม่ของ CSI พุ่งขึ้น 6.3% หลังจากที่หัวเว่ยเปิดตัวโซลูชันรถยนต์อัจฉริยะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ขณะที่ Flow ที่ไหลเข้าจากต่างประเทศที่แข็งแกร่งยังช่วยให้ความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุน

ทั้งนี้ ดัชนี blue-chip CSI300 ปิด +2.4% ที่ระดับ 5,087.02 จุด

ดัชนี Shanghai Composite ปิด +1.5% ที่ระดับ 3,477.55 จุด

หุ้นของ Trip.com Group พุ่งขึ้น 4.5% หลังจากการเปิดตัวในฮ่องกง

 

·         ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางการเคลื่อนไหวอย่างผสมผสานของตลาดหุ้นทั่วโลก




ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 0.15% ด้านหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและการพักผ่อนเพิ่มขึ้น 0.6% ขณะที่หุ้นน้ำมันและก๊าซลดลง 0.3%

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

- ตลาดหุ้นไทยปิดเช้าพุ่ง 18.44 จุด จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในปท.ลดลง-ปัจจัยเฉพาะตัวหนุน

ตลาดหลักทรัพย์ฯปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,567.40 จุด เพิ่มขึ้น 18.44 จุด (+1.19%) มูลค่าการซื้อขายราว ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยทำระดับสูงสุด 1,569.19 จุด และระดับต่ำสุด 1,552.91 จุด

 

- BAY มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 31.10-31.40 จากดอลลาร์พักฐาน จับตาส่งออกไทย

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.10-31.40 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทปิดแข็งค่าที่ 31.28 ต่อดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 31.17-31.58 โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 7 เดือน ก่อนจะพลิกกลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบรายสัปดาห์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 7 สัปดาห์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนแม้ข้อมูลเงินเฟ้อและยอดค้าปลีกสูงเกินคาด ด้านประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ระบุว่าเฟดจะลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตรรายเดือนลงก่อนที่จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สัญญาณดังกล่าวเน้นย้ำว่า เฟดจะยังไม่ปรับนโยบายในอนาคตอันใกล้ โดยเฟดได้ให้คำมั่นที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจต่อไปจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 269 ล้านบาท แต่ขายพันธบัตร 927 ล้านบาท

 

- สศช.ชี้วงเงินกู้ 1 ล้านล้านเบิกจ่ายไปแล้ว 78% ปัจจุบันเหลือวงเงิน 240,000 ล้านบาท ในส่วนนี้เป็นเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 214,000 ล้านบาท เตรียมเดินหน้าโครงการเศรษฐกิจฐานราก 45,000 ล้านบาท ให้แต่ละจังหวัดทั้ง 77 จังหวัดเสนอโครงการเข้ามา โดยจะจัดสรรเงินให้จังหวัดละ 500-700 ล้านบาท ส่วนโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ยังไม่มีการหารือ รอประเมินสถานการณ์และประเมินผลโครงการเราชนะก่อน

 

- "นายกฯ" มั่นใจรัฐบาลมีเงิน 3.8 แสนล้าน ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย มั่นใจคุมโรคระบาดระลอกนี้ได้ เชื่อประชาชนให้ความร่วมมือเต็มที่

 

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ (U.S. Treasury) ได้เผยแพร่รายงานการประเมินนโยบายเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ฉบับล่าสุด เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ซึ่งระบุว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ใน monitoring list ต่อเนื่องจากการประเมินครั้งก่อน (เดือนธันวาคม 2563) เนื่องจากประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 20 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากกว่าร้อยละ 2 ของ GDP ซึ่งเป็นเกณฑ์และเงื่อนไขภายใต้กฎหมายภายในของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้ติดตามประเทศใน monitoring list ต่อเนื่องไปอีก2 รอบการประเมิน

 

- อย.เตือนอย่าไว้ใจชุดตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตัวเองอาจแปลผลผิดเสี่ยงแพร่เชื้อวงกว้าง

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้เสนอให้รัฐบาลจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเอง (Self- test) เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจเชื้อได้ด้วยตนเอง เหมือนในประเทศอังกฤษ พร้อมเสนอให้ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักรักษาตัวที่บ้านได้นั้น อย. ขอชี้แจงว่า ชุดตรวจโควิด-19 โดยการหาเชื้อจากโปรตีนดังกล่าว เรียกว่า Rapid Ag test มีลักษณะเป็นแถบตรวจ ให้หยดน้ำยาที่มีเนื้อเยื่อจากการแยงจมูก (swab) ชุดทดสอบนี้หากตรวจในช่วงแรกหลังรับเชื้อ หรือเลยช่วง 7-10 วันหลังมีอาการ อาจให้ผลลบปลอม จนนำไปสู่การแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นได้

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com