• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 29 เมษายน 2564

    29 เมษายน 2564 | Gold News


เฟดคงดอกเบี้ยหนุนทองขึ้น-กดดันดอลลาร์-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ

ราคาทองคำปิดปรับตัวสูงขึ้นได้วานนี้ โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก
1. เฟดคงนโยบายผ่อนคลายต่อไปทั้งดอกเบี้ยและ QE พร้อมย้ำถึงการจะยังเดินหน้าใช้นโยบายแบบ Dovish ต่อไปเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
2. ดอลลาร์อ่อนค่าลงมา 0.1
% แตะ 90.81 จุด เคลื่อนไหวใกล้ต่ำสุดตั้งแต่ 3 มี.ค.
3. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี อ่อนตัวลงจาก 1.647
มาแถว 1.62%

ราคาทองคำตลาดโดลกปิด +0.2% ที่ 1,780.56 เหรียญ หลังช่วงต้นตลาดไปทำต่ำสุดตั้งแต่ 16 เม.ย. ที่ 1,762 เหรียญ

สัญญาทองคำส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิด  -0.3% ที่ 1,773.9 เหรียญ

หัวหน้านักวิเคราะห์จาก BMO มองว่า การฟื้นตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่า ดูจะช่วยหนุนทองคำให้ปรับตัวขึ้นมาได้หลังจากที่ทดสอบจุดต่ำสุดของกรอบการลงทุน ก่อนจะดีดกลับหลังจากที่ประธานเฟดยังคงกล่าวย้ำว่าจะยังไม่มีการลดหรือถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงผ่อนคลายทางการเนเวลานี้ จึงทำให้เราเห็นราคาทองคำมีโอกาสกลับทดสอบกรอบ 1,800 – 1,810 เหรียญได้ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าทองคำจะมีแรงหนุนเพียงพอได้หรือไม่

Goldman Sachs ยังคงคาดการณ์เห็นราคาทองคำขยับขึ้นบริเวณ 2,000 เหรียญได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า และยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่า Bitcoin จะมีอุปสงค์ในฐานะ Safe-Haven แทนที่ทองคำได้


น้ำมันดิบปรับขึ้นได้เกือบ 2%  จากข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของ EIA ที่ออกมาลดลงเกินคาด หนุนความหวังตลาดเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นขงอุปสงค์ แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ระบาดของไวรัสก็ตาม

น้ำมันดิบ WTI ปิด +1.46% หรือปรับขึ้น 92 เซนต์ ปิดที่ 63.86 เหรียญ/บาร์เรล

 

ดัชนี S&P500 ปิดทรงตัว หลังเฟดยังคงดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด พร้อมให้สัญญาณเดินหน้าผ่อนคลายทางการเงินต่อ

ดัชนี S&P500 ปิด -0.08ที่ 4,183.18 เหรียญ หลังทำสูงสุดประวัติการณ์รายวันได้ในช่วงต้นตลาด

ดัชนี Dow Jones ปิด -164 จุด ที่ 33,820.38 จุด หลังผลประกอบการของหุ้นบริษัท Amgen  ร่วงลงหนักกว่า 7.2% ขานรับผลประกอบการบริษัทที่ออกมาอย่างน่าผิดหวัง

ดัชนี Nasdaq ปิด -0.28% ที่ 14,051.03 จุด

 

 สรุปประชุมเฟด:  เฟดมีมติเอกฉันท์ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายใดๆ และมองว่าการใช้นโยบายในเวลานี้เหมาะสมแล้ว พร้อมให้สัญญาณว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในเร็วๆนี้  

- เฟดคงดอกเบี้ยตามคาดใกล้ระดับศูนย์ (0-0.25%)
เฟดยังคงการเข้าซื้อพันธบัตรในวงเงิน 1.2 แสนล้านเหรียญ/เดือน
- เฟดมองว่า ถึงแม้ “เศรษฐกิจสหรัฐฯจะแข็งแกร่ง” ควบคู่กับ “เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น” แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวถ้อยแถลงโดยระบุว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังอยู่ห่างไกลจากการฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ และตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะหารือกันถึงเรื่องการลดนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่างๆ อาทิ การเข้าซื้อพันธบัตรในตอนนี้ เนื่องด้วยเฟดต้องรอความคืบหน้าอย่างยั่งยืน

 

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics กล่าวว่า จากแถลงการณ์ของเฟดยังย้ำเน้นถึงการยังไม่พิจารณาชะลอการเข้าซื้อพันธบัตร รวมทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ย

 

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs คาด เฟดจะยังไม่ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจนถึงช่วงต้นปีหน้า

 

ประธานฟด ระบุถึง การดำเนินค่าเงินดิจิทัลอย่างเหมาะสมของจีนไม่ส่งผลกระทบกับสหรัฐฯ และเงินหยวนไม่อาจทำให้เฟดเร่งที่จะสานโครงการค่าเงินดิจิทัลของตนเอง

 

สิ่งที่ประธานเฟดเป็นกังวลคือการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท Archegos ที่เป็น Hedge Funds รายใหญ่ที่เฟดกำลังสนใจ

 

แถลงการณ์ครั้งแรกของ “นายไบเดน” ต่อสภาคองเกรส


- ไบเดนมีแนวโน้มจะกล่าวถึง “การกลับมาอีกครั้งของสหรัฐอเมริกา” ในแถลงการณ์วันนี้

- ไบเดนอาจจะผลักดันแผนค่าใช้จ่ายมูลค่า 4 ล้านล้านเหรียญต่อสภาคองเกรส สำหรับการผลักดันแผนโครงสร้างพื้นฐาน, ภาคแรงงาน รวมทั้งการลงทุนทั่วไปเพื่ออนาคตของประชาชนสหรัฐฯ ที่อาจระบุถึงวงเงิน 1.8 ล้านล้านเหรียญ สำหรับ แพ็คเกจช่วยเหลือครอบครัวและการศึกษา
อาจใช้วงเงิน 1 ล้านล้านเหรียญ สำหรับภาคการศึกษาและสวัสดิการเด็กกว่ายาวนานถึง 10 ปี
อาจใช้วงเงิน 8 แสนล้านเหรียญ สำหรับการคืนภาษีแก่ครอบครัวผู้มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง
วงเงิน 2 แสนล้านเหรียญ สำหรับการให้เรียนฟรีของกลุ่มเด็กก่อนวันเริ่มเข้าเรียนอายุระหว่าง 3-4 ปี
วงเงิน 1.09 แสนล้านเหรียญ สำหรับทุนเรียนฟรีของวิทยาลัยชุมชนเป็นเวลา 2 ปี

 

สหรัฐฯมียอดขาดดุลการค้าทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดืนอมี.ค. โดยที่ยอดขาดดุลพุ่ง 4.0แตะ 9.06 หมื่นล้านเหรียญ


  

“บลินเคน” รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า ตุรกี และชาติพันธมิตร ควรระงับการเข้าซื้ออาวุธจากรัสเซียต่อไป พร้อมขู่ว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจเห็นการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพิ่ม


สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาล่าสุด
พบ 51 ประเทศทั่วโลกที่มีรายงานยอดติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น

ยอดติดเชื้อสะสมทั่วโลกล่าสุดแตะ 150.20 ล้านราย โดยพบรายงานผู้ติดเชื้อใหม่ 879,230 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมของโลกล่าสุดอยู่ที่ 3.16 ล้านราย


สถานการณ์ในอินเดียยังวิกฤตท่ามกลางรายงานยอดติดเชื้อใหม่และยอดเสียชีวิตรายวันทำสูงสุดประวัติการ์ณต่อเนื่อง ขณะที่รายงานเสียชีวิตสะสมทางการทะลุ 200,000 ราย

ยอดติดเชื้อใหม่ในประเทศเพิ่มขึ้นแตะ 379,459 ราย รวมติดเชื้อสะสม 18.36 ล้านราย
ยอดเสียชีวิตรายวันเพิ่มกว่า 3,647 ราย รวมสะสม 204,812 ราย


อย่างไรก็ดี WHO มีการประกาศสายพันธุ์ใหม่ในอินเดียภายใต้ชื่อ B1617 ที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์อื่นที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อกระจายเพิ่มอย่างรวดเร็ว รวมทั้งอัตราเสียชีวิตที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันก็กำลังระบาดไปไม่น้อยกว่า 17 ประเทศ รวมทั้งในสหรัฐฯ, อังกฤษ และสิงคโปร์


ยอดเสียชีวิตสะสมในบราซิลขยับใกล้ 400,000 ราย ล่าสุดแตะ 398,343 ราย และมียอดติดเชื้อสะสมรวมกว่า 14.52 ล้านราย

 

ไทยขยับอันดับโลกสะสมรวมสูงสุดที่ 103 ล่าสุดยอดติดเชื้อรวมสะสมพุ่งทะลุ 61,699 ราย!

เมื่อวานนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอีก 2,012 ราย และมีผู้เสียชีวิตอีก 15 ราย ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มมาที่ 178 ราย


นักบริหารการเงิน ระบุว่า เงินบาทวันนี้เปิด แข็งค่าที่ 31.34 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแข็งค่าตามดอลลาร์อ่อนค่า แต่ระหว่างวันเงินบาทอาจปรับตัวอ่อนค่า จากโควิด-19ทวีความรุนแรงขึ้นฝั่งนักลงทุนคุ้นชินและรอปัจจัยใหม่ ส่วนตลาดการเงินโดยรวมยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก แม้เฟดไม่เร่งรีบปรับนโยบายการเงิน คาดวันนี้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.30- 31.40 บาท/ดอลลาร์

 

อ้างอิงจากไทยรัฐ

- โควิดรอบใหม่ทำหุ้นไทยไตรมาส 2-3 ปี 64 ไม่สดใส ให้เป้า SET ที่ 1,550 จุด

ภาพรวมของการลงทุนในปี 2564 ในประเด็นความเสี่ยงนั้นมีความแตกต่างจากปี 2563 ซึ่งความเสี่ยงทางเศรษฐกิจกำลังลดลง แต่ความเสี่ยงด้านตลาดการเงิน หรือ market risk กำลังเพิ่มขึ้น

SCBS เคยคาดว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตได้ใกล้ระดับ 3% ในปี 2564 แต่จากการระบาดของโควิด-19 ใน 2 รอบล่าสุด ทำให้การคาดการณ์ดังกล่าวมีความเสี่ยงถูกปรับลดลง แต่ยังคงเชื่อว่าการบริโภคในประเทศและการส่งออกในปี 2564 ยังคงสามารถเติบโตได้ดีจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแต่การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังมีความเสี่ยงล่าช้ากว่าคาด


KKP Research ปรับประมาณการตัวเลข GDP ลง จาก 7% เป็น 2.2% ชี้การฉีดวัคซีนในไทยถือว่าช้ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แนะทางออกสำคัญในเวลานี้คือ การเร่งจัดหาวัคซีนให้คนไทยให้ได้เร็วที่สุด โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงตลอดทั้งปี หากวัคซีนยังล่าช้า


เศรษฐกิจไทยดูเหมือนกำลังตกอยู่ในภาวะน่ากังวลจากไวรัสระบาด ะลอกสาม” ที่ทำท่าจะลุกลามรวดเร็วและรุนแรงกว่าครั้งก่อน ส่งผลให้หลายสำนักวิจัยด้านเศรษฐกิจก็พาเหรดปรับลดประมาณการกันใหม่อีกรอบ




- เอดีบีคาดจีดีพีไทยปีนี้โต 3% ปีหน้าโต 4.5% และระบุถึง เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยเศรษฐกิจหดตัว 6.1% ในปี 2563


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com